วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ควันไอเสียส่งผลต่อสมอง



กลิ่นหรือควันที่ลอยไปลอยมากำลังส่งผลร้ายต่อสมองของเรา 
                  คุณคงเคยรู้สึกทนไม่ไหวต่อไอเสียรถที่พวยพุ่งออกมา จนต้องใช้มือ หรือหาผ้ามาปิดปากปิดจมูกใช่มั้ยคะ แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือกลิ่นหรือควันที่ลอยอยู่ก็ส่งร้ายผลต่อสมองของเราด้วยนะคะ เนื่องจากการหายใจเอาควันไอเสียรถยนต์เข้าไปจะส่งผลกระทบต่อสมอง โดยอาจไปทำลายระบบการทำงานของสมองในระยะยาว และเคยมีรายงานการศึกษาพบว่าอนุภาคเล็ก ๆ ของเขม่าควัน สามารถผ่านเข้าไปทางจมูกและฝังติดอยู่ในสมองของเรา

               Paul Borm หัวหน้าทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัย Zuyd กล่าวว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสมองเหล่านี้ อาจเป็นการแสดงให้เห็นถึงสภาพมลภาวะทางอากาศอันย่ำแย่ ในเมืองที่มีการจราจรคับคั่ง ซึ่งเป็นไปได้ว่าฝุ่นควันเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อการทำงานและการประมวลข้อมูลของสมองค่ะ ทีมวิจัยได้ให้อาสาสมัคร 10 คนอยู่ในห้องที่มีเขม่าควันจากน้ำมันดีเซล เป็นเวลา 1 ชั่วโมงแล้ววัดคลื่นสมอง พบว่ามีระดับเขม่าไอเสียเหมือนที่พบบนท้องถนนหรือในโรงรถ และหลังจากนั้น 30 นาที พบว่าคลื่นสมองมีความตึงเครียด และมีการเปลี่ยนแปลงการประมวลข้อมูลของสมองในส่วน cortex

               นอกจากนั้นยังพบว่าเขม่าไอเสียเหล่านี้ยังเกี่ยวข้องกับปัญหาการหายใจ และปัญหาหัวใจและหลอดเลือดอีกด้วยค่ะ และเรื่องที่นักวิจัยกำลังจะศึกษาเพิ่มเติมในอนาคตคือ การตรวจหาว่าผลกระทบนี้จะมีผลต่อความฉลาดและความจำหรือไม่ 

ฮือฮา′พระจอมเกล้าธน′ ติดอันดับโลก1ใน400ยอดมหาลัย ′มหิดล-จุฬา′หลุดโผ ชี้งบวิจัยถูกตัดเหี้ยน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการจัดอันดับ 400 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกของ Times Higher Education World Rankings ปี 2012-2013 ผลปรากฏว่าในปีนี้มีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยไทยเพียงแห่งเดียวที่ติดอยู่ในกลุ่ม 351-400 โดยมหาวิทยาลัยที่ติดอยู่ในอันดับ 1-5 ของโลกจากการจัดอันดับของ Times Higher Education World Rankings ในปีนี้ ได้แก่ California Institute of Technology, Oxford University, Stanford University, Harvard University, และ Massachusetts Institute of Technology (MIT)
ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า ส่วนมหาวิทยาลัยในเอเชียที่ติดอยู่ในการจัด 400 อันดับ มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกในครั้งนี้มีถึง 57 แห่ง ส่วนใหญ่อยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ ไต้หวัน และฮ่องกง เป็นต้น โดยมหาวิทยาลัยในเอเชียที่ติดอยู่ในอันดับต้นๆ ของการจัดอันดับ ได้แก่ มหาวิทยาลัยโตเกียว อันดับที่ 27, มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ อันดับที่ 29, มหาวิทยาลัยฮ่องกง อันดับที่ 35, มหาวิทยาลัยปักกิ่ง อันดับที่ 46 และ Pohang U of Sci&Tech ประเทศเกาหลี อันดับที่ 50 เป็นต้น
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า การจัดอันดับ 400 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกในปีนี้ เป็นที่น่า สังเกตว่า มหาวิทยาลัยไทยติดอยู่ในการจัดอันดับ ในปีนี้เพียงมหาวิทยาลัยเดียว ทั้งที่การจัดอันดับเมื่อปี 2011 มีมหาวิทยาลัยไทยติดอยู่ 2 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล (มม.) อันดับที่ 306 และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อันดับที่ 341 แต่ในการจัดอันดับเมื่อปี 2012 เหลือมหาวิทยาลัยไทยเพียงแห่งเดียว ได้แก่ มม. และ ติดอยู่ในกลุ่มท้ายสุด กลุ่มอันดับ 351-400 แต่ในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก ในปีนี้ มม.กลับไม่ติดใน 400 อันดับ มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกเช่นกัน
นายเชาวลิต ลิ้มมณีวิจิตร รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนานักศึกษา มจธ.กล่าวว่า มจธ.เข้าสู่การจัดอันดับของ Times Higher Education World Rankings เป็นครั้งแรก และติดอยู่ในอันดับที่ 389 ของมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของโลก เท่าที่ดูน่าจะเป็นเพราะปริมาณงานวิจัยของ มจธ.มีค่อนข้างมาก แม้จำนวนไม่มากเท่ากับมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ เช่น จุฬาฯ และ มม.ที่มีขนาดใหญ่กว่า มจธ. 2-3 เท่า แต่เมื่อนำจำนวนบุคลากรมาหารกับจำนวนงานวิจัยจะพบว่า มจธ.มีจำนวนงานวิจัยมากกว่า แม้จะเป็นมหาวิทยาลัยที่มีขนาดเล็กกว่า ส่วนเรื่องงบประมาณในการพัฒนางานวิจัยนั้น ยอมรับว่าถ้ารอจากภาครัฐเพียงอย่างเดียวคงลำบาก โดยงบฯ วิจัยส่วนหนึ่งมาจากงานบริการทางวิชาการและภาคเอกชนที่สนับสนุน ถึง 1 ใน 3 ของงบฯ ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม การจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก เป็นเพียงกระจกเงาสะท้อนสถานภาพของมหาวิทยาลัยไทยในเวทีโลก แต่สิ่งสำคัญที่ควรจะต้องพัฒนามากกว่าคือ การผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพและเร่งพัฒนางานวิจัย ซึ่งมีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศ
"ที่น่าจับตาคือ เดิมมหาอำนาจด้านการศึกษาจะเป็นประเทศในแถบยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา แต่ปีนี้สังเกตได้ว่ามหาวิทยาลัยในแถบภูมิภาคเอเชียมีพัฒนาการและติดอันดับโลกมากขึ้น เช่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางของจีน มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ และ มจธ.ที่เห็นได้ชัดคือ จีนที่ทุ่มเทงบฯ เพื่องานวิจัยและพัฒนาอุดมศึกษาค่อนข้างมาก โดยขณะนี้เริ่มเห็นผลในทิศทางที่ดีขึ้น และสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือวิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศ ทั้งจีนและสิงคโปร์ ที่ให้ความสำคัญเรื่องการศึกษาตั้งแต่ระดับขั้นพื้นฐานจนถึงอุดมศึกษา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศ" นายเชาวลิตกล่าว
นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดีจุฬาฯ กล่าวว่า ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับของ Times Higher Education World Rankings จะยึดจำนวนงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์และอ้างอิงจากฐานข้อมูล Institute for Scientific Information (ISI) ซึ่งมหาวิทยาลัยที่เน้นงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะค่อนข้างได้เปรียบมากกว่ามหาวิทยาลัยที่เน้นด้านสังคม โดยในส่วนของจุฬาฯ เองเคยพูดคุยกันในเรื่องนี้ พบว่างานวิจัยของจุฬาฯ ไม่ได้ลดน้อยลง แต่อาจเน้นไปทางสายศิลปศาสตร์และสังคมศาสตร์ค่อนข้างมาก จึงอาจไม่ตรงหลักเกณฑ์ในการจัดอันดับ
ขณะเดียวกัน การที่มหาวิทยาลัยถูกลดงบฯ สนับสนุนของมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติลงเรื่อยๆ ก็ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลงานวิจัยเช่นกัน เพราะงานวิจัยบางเรื่องต้องการความต่อเนื่อง จึงอยากให้รัฐบาลหันกลับมาทบทวนและให้ความสำคัญกับการพัฒนามหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติให้เป็นไปตามแนวทางเดิมที่วางไว้
"ในภาพรวมแม้จุฬาฯ จะมีเป้าหมายในการเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก และหลักเกณฑ์ในการจัดอันดับใดที่ทำแล้วเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ จุฬาฯ ก็ยินดีทำ แต่ถ้าไม่เกิดประโยชน์ ก็คงไม่ทำ เช่น งานวิจัยที่เกิดผลกระทบกับท้องถิ่นซึ่งสำคัญ แต่อาจไม่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ ซึ่งจุฬาฯ ก็ทิ้งไม่ได้ หรือหลักเกณฑ์ที่กำหนดว่าต้องเพิ่มจำนวนนักศึกษาต่างชาติให้มากขึ้น ขณะที่บางสาขาเด็กไทยยังไม่มีที่เรียน จุฬาฯ ก็ต้องดูแลเด็กไทยก่อน" นพ.ภิรมย์กล่าว
นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่า เท่าที่ทราบการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของโลกในครั้งนี้ได้เปลี่ยนกติกา ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลและดูว่ากติกาที่เปลี่ยนส่งผลกระทบกับอันดับที่ลดลงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของจุฬาฯ และ มม.ที่ไม่ติดอันดับในครั้งนี้ ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมาย เพราะมหาวิทยาลัยไทยอาจเสียเปรียบเรื่องงบฯ วิจัยที่ถูกตัดไปถึง 2 ปี ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญ ขณะเดียวกัน การที่ มจธ.ติดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกในครั้งนี้ เข้าใจว่า มจธ.เป็นมหาวิทยาลัยที่มี งานวิจัยค่อนข้างมาก โดยเฉพาะงานวิจัยด้านเทคโนโลยีที่โดดเด่นเฉพาะทาง จึงอาจเป็นข้อได้เปรียบมหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่ขณะนี้งานวิจัยอาจหยุดอยู่กับที่
"ถ้าถามว่ามหาวิทยาลัยไทยถอยหลังหรือไม่ คงไม่ถึงกับถอยหลังแต่เหมือนหยุดอยู่กับที่ ขณะที่มหาวิทยาลัยอื่นๆ ทั่วโลกก้าวไปข้างหน้าตลอดเวลา ยอมรับว่าเรื่องงบฯ วิจัยที่ถูกตัดไป 2 ปี ของมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ ส่งผลกระทบ ต่อการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกใน ครั้งนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งหากรัฐบาลตั้งเป้าว่ามหาวิทยาลัยของไทยจะต้องติดอันดับโลก ก็ต้องจัดสรรงบฯวิจัยให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้" นพ.กำจรกล่าว

7 ข้อต้องห้ามเพื่อพิทักษ์นาฬิกาของคุณ การดูแลรักษานาฬิกามีหลายวิธีแตกต่างกันไปตามคุณสมบัติของนาฬิกาแต่ละเรือน เอาเป็นว่าผมขออนุญาติป้องกันนาฬิกาของคุณล่วงหน้าพร้อมกับแนวทางการดูแลรักษานาฬิกาด้วย "7ข้อต้องห้ามเพื่อพิทักษ์นาฬิกา" ที่น่าจะครอบคลุมทั้งวิธีการป้องกันและการดูแลรักษาได้ อาจจะไม่ครอบคลุมทั้งหมดแต่ผมว่ามีประโยชน์ไม่น้อยเลยครับ 1 อย่าคาดหวังว่านาฬิกาทุกเรือนจะสามารถกันน้ำได้ ถึงแม้ว่านาฬิกาสปอร์ตที่คุณมีอาจระบุคุณสมบัติกันน้ำบนหน้าปัดหรือฝาหลังก็ตาม แต่ก็ต้องดูขอบเขตความสามารถของมันด้วย บางครั้งมันอาจช่วยได้แค่กันฝุ่น กันเหงื่อ หรือกันน้ำฝนได้เท่านั้น และอาจกันน้ำได้ในต่างสถานการณ์กันด้วย เช่น นาฬิกาที่ระบุว่ากันน้ำลึก 30 เมตร ทำได้เพียงป้องกันน้ำเข้าจากการล้างมือ ไม่เหมาะที่จะใส่ลงว่ายน้ำ หรือถ้าเป็นนาฬิกากันน้ำลึก 50 เมตร ใส่ว่ายน้ำได้แต่ต้องระดับตื้นๆ ถ้าคุณชอบดำน้ำหรือเล่นกีฬาทางน้ำอื่นๆต้องใช้นาฬิกาที่กันน้ำได้ลึกตั้งแต่ 200 เมตร จึงจะสามารถรับแรงกระแทกของน้ำขณะเล่นกีฬาได้ อย่างไรก็ตามนักดำน้ำที่เข้มงวดก็ควรใช้นาฬิกาที่ออกแบบและผลิตออกมาเพื่อการดำน้ำโดยเฉพาะดีกว่า 2 อย่าใส่นาฬิกากลไกจักรกลเข้าห้องซาวน่าเป็นเวลานานๆ เพราะจะทำให้น้ำมันหล่อลื่นและน้ำมันต่างๆที่อยู่ภายในนาฬิกาข้นและเหนียวขึ้นส่งผลต่อการทำงานและความเที่ยงตรงของนาฬิกาในอนาคต และถือเป็นการทารุณกรรมนาฬิกามากที่สุด คือ ใส่นาฬิกาเข้าห้องซาวน่าแล้วออกมาอาบน้ำเย็นเฉียบทันที หรือการใส่นาฬิกาออกอาบแดด แล้วกระโจนลงสระว่ายน้ำต่อ จริงๆแล้ววิธีเหล่านี้มีผลดีต่อระบบร่างกายของมนุษย์ แต่เป็นหายนะสำหรับนาฬิกา เพราะกลไกนาฬิกาไม่เหมือนคน มันเกลียดการเปลี่ยนแปลงอณุหภูมิอย่างฉับพลัน เช่น จากอณุหภูมิ 80 องศาเซลเซียส(ซึ่งเป็นอุณหภูมิภายในนาฬิกาเมื่ออยู่ใต้แสงอาทิตย์) ปรับทันทีมาเย็นเฉียบที่อุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศาเซสเซียส เป็นต้น 3 อย่าให้สายหนัง สายพลาสติก หรือสายยางของนาฬิกาสัมผัสกับสเปรย์กันยุง หรือครีมทากันแดด เพราะสายนาฬิกาจะเสื่อมเร็วกว่าเวลาอันควรโดยเฉพาะสายพลาสติกและสายยางชั้นดีทั้งหลายโดนเมื่อไรสีจะเปลี่ยนเป็นสีซีดจางและเปราะง่ายขึ้นหลายเท่า คลอรีนในสระว่ายน้ำก็เป็นศัตรูตัวฉกาจ ที่สามารถสร้างความเสียหายให้กับสายนาฬิกาได้เช่นกัน แม้จะเป็นสายสเตนเลสสตีล ที่ควรทำความสะอาดด้วยน้ำบริสุทธิ์ทันทีที่ขึ้นจากสระครับ 4 อย่าพยายามซ่อมนาฬิกาควอตซ์หรือนาฬิกาจักรกลด้วยตัวคุณเองเลยครับ ขนาดช่างซ่อมนาฬิกายังต้องใช้เวลาและประสบการณ์การเรียนรู้และศึกษาการซ่อมนานหลายปี ถ้านาฬิกามีปัญหานำไปให้ผู้เชี่ยวชาญซ่อมดีกว่า และควรส่งนาฬิกาเข้าตรวจเช็คอย่างน้อยทุก 3-4ปี แบบเดียวกับที่ดูแลรักษารถเป็นประจำนั่นแหละ เวลาที่คุณส่งนาฬิกาไปยังศูนย์ซ่อม ช่างอาจเปลี่ยนชิ้นส่วนที่หมดอายุและชิ้นส่วนที่จำเป็นต้องเปลี่ยนให้ทำความสะอาด และปรับอัตราการเดินของกลไก รวมทั้งจะช่วยขัดตัวเรือนนาฬิกาให้ดูใหม่เหมือนเพิ่งแกะออกจากกล่อง ข้อสำคัญคือ เลือกศูนย์ที่ไว้ใจได้และมีมาตราฐาน พร้อมรับประกันให้คุณด้วยไม่เช่นนั้นคุณอาจได้อะไหล่ปลอมใส่ในนาฬิกาแทนอะไหล่ที่ไม่เสีย (แถมยังราคาดี) ได้ง่ายๆ 5 อย่าใส่นาฬิกากลไกจักรกลลงเล่นกีฬาหรือกิจกรรมที่มีการกระแทกจนเกินไป เช่น ตีสควอช หวดเทนนิส ฟาดคริคเก็ต และหวดวงสวิงลูกกอล์ฟ หรือขี่จักรยานเสือภูเขาบนพื้นถนนที่ขรุขระมากๆเป็นเวลานานๆ ก็ควรหลีกเลี่ยงไว้เป็นดี เพราะศัตรูตัวฉกาจของนาฬิกาจักรกลคือการถูกแรงสั่นสะเทือนซ้ำๆ หรือถูกกระแทกอย่างแรง แม้จะมีระบบกันกระเทือนแต่นานไปก็ต้านทานไม่ไหวเหมือนกัน ถ้าชอบเล่นกีฬาที่ใช้แรง แนะนำให้ใส่นาฬิกาที่ออกแบบมาเพื่อกีฬาประเภทนั้นๆดีกว่า หรือถ้าจะให้ดีกว่านี้ ใส่นาฬิกาสปอร์ตควอซ์เลยครับ ปลอดภัยไร้กังวลและไม่เสียดายทีหลังด้วย 6 อย่าคิดว่านาฬิกากลไกจักรกลที่มีระบบปฏิทินตลอดชีพไม่จำเป็นต้องไขลาน เพราะฟังก์ชันปฏิทินที่อยู่ได้นานเป็นเดือนๆหรือเป็นปีๆ โดยไม่ต้องปรับ เพราะถ้าไม่มีพลังงานคุณก็ต้องมาเสียเวลานั่งปรับอีกนั่นแหละ อีกอย่างถึงจะเป็นปฏิทินตลอดชีพ ก็ยังต้องปรับในวันที่ 1 มีนาคม 2100 ตามกฎปีอธิกสุรทิน 400ปี ถ้านาฬิกาปฏิทินตลอดชีพของคุณเป็นนาฬิกาจักรกลและหยุดเดินไปแล้ว คุณไม่ควรปรับตั้งเวลาใหม่และไม่ต้องปรับปฏิทิน ในช่วงระหว่างเวลา 4 ทุ่มถึงตี 2 (22.00 - 02.00) เพราะอาจทำลายระบบปฏิทินของนาฬิกาได้ และถ้าไม่ได้ใส่นาฬิกาติดข้อมือทุกวัน ลงทุนซื้อกล่องหมุนนาฬิกาที่ใช้พลังแบตเตอรี่มาช่วยไขลานนาฬิกาให้เดินอยู่ตลอดเวลาดีกว่าครับ ศึกษาวิธีหมุนของตู้ด้วยก็แล้วกันจะได้ใช้อย่างเหมาะสมกับนาฬิการาคาแพงแต่ละรุ่นของคุณ 7 อย่าคิดว่าสายหนังคือสายที่คงทน ผู้เชี่ยวชาญบางคนแนะนำว่า สายนาฬิกาที่ทำจากหนังหลากหลายมากมาย เช่น หนังจระเข้ ไม่ควรใส่ทุกวันปล่อยให้มันได้พักเพื่อการคลายตัวและคืนรูป และปล่อยให้ความชื้นที่สายหนังรับมาจากข้อมือระเหยไปให้หมดก่อนจะนำมาใส่ใหม่ และแม้ว่าสายหนังจะแปะป้าย "กันน้ำได้" ก็ไม่ควรใส่อาบน้ำหรือใส่นอนอยู่ดี ส่วนสายโลหะหรือสายทองประเภทต่างๆ ควรได้รับการทำความสะอาดอย่างพิถีพิถันเช็ดเอาฝุ่นและคราบสกปรกออกก่อนที่ฝุ่นจะติดแน่นเกินไป โดยเฉพาะคราบที่ฝังตัวอยู่ตามข้อต่อสาย ตัวดีนักเชียว


การดูแลรักษานาฬิกามีหลายวิธีแตกต่างกันไปตามคุณสมบัติของนาฬิกาแต่ละเรือน เอาเป็นว่าผมขออนุญาติป้องกันนาฬิกาของคุณล่วงหน้าพร้อมกับแนวทางการดูแลรักษานาฬิกาด้วย "7ข้อต้องห้ามเพื่อพิทักษ์นาฬิกา" ที่น่าจะครอบคลุมทั้งวิธีการป้องกันและการดูแลรักษาได้  อาจจะไม่ครอบคลุมทั้งหมดแต่ผมว่ามีประโยชน์ไม่น้อยเลยครับ          
1  อย่าคาดหวังว่านาฬิกาทุกเรือนจะสามารถกันน้ำได้  ถึงแม้ว่านาฬิกาสปอร์ตที่คุณมีอาจระบุคุณสมบัติกันน้ำบนหน้าปัดหรือฝาหลังก็ตาม  แต่ก็ต้องดูขอบเขตความสามารถของมันด้วย  บางครั้งมันอาจช่วยได้แค่กันฝุ่น  กันเหงื่อ  หรือกันน้ำฝนได้เท่านั้น  และอาจกันน้ำได้ในต่างสถานการณ์กันด้วย เช่น  นาฬิกาที่ระบุว่ากันน้ำลึก 30 เมตร ทำได้เพียงป้องกันน้ำเข้าจากการล้างมือ  ไม่เหมาะที่จะใส่ลงว่ายน้ำ  หรือถ้าเป็นนาฬิกากันน้ำลึก 50 เมตร ใส่ว่ายน้ำได้แต่ต้องระดับตื้นๆ  ถ้าคุณชอบดำน้ำหรือเล่นกีฬาทางน้ำอื่นๆต้องใช้นาฬิกาที่กันน้ำได้ลึกตั้งแต่ 200 เมตร จึงจะสามารถรับแรงกระแทกของน้ำขณะเล่นกีฬาได้  อย่างไรก็ตามนักดำน้ำที่เข้มงวดก็ควรใช้นาฬิกาที่ออกแบบและผลิตออกมาเพื่อการดำน้ำโดยเฉพาะดีกว่า
2  อย่าใส่นาฬิกากลไกจักรกลเข้าห้องซาวน่าเป็นเวลานานๆ เพราะจะทำให้น้ำมันหล่อลื่นและน้ำมันต่างๆที่อยู่ภายในนาฬิกาข้นและเหนียวขึ้นส่งผลต่อการทำงานและความเที่ยงตรงของนาฬิกาในอนาคต  และถือเป็นการทารุณกรรมนาฬิกามากที่สุด คือ ใส่นาฬิกาเข้าห้องซาวน่าแล้วออกมาอาบน้ำเย็นเฉียบทันที  หรือการใส่นาฬิกาออกอาบแดด  แล้วกระโจนลงสระว่ายน้ำต่อ  จริงๆแล้ววิธีเหล่านี้มีผลดีต่อระบบร่างกายของมนุษย์ แต่เป็นหายนะสำหรับนาฬิกา เพราะกลไกนาฬิกาไม่เหมือนคน มันเกลียดการเปลี่ยนแปลงอณุหภูมิอย่างฉับพลัน เช่น จากอณุหภูมิ 80 องศาเซลเซียส(ซึ่งเป็นอุณหภูมิภายในนาฬิกาเมื่ออยู่ใต้แสงอาทิตย์) ปรับทันทีมาเย็นเฉียบที่อุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศาเซสเซียส เป็นต้น
3  อย่าให้สายหนัง สายพลาสติก หรือสายยางของนาฬิกาสัมผัสกับสเปรย์กันยุง หรือครีมทากันแดด เพราะสายนาฬิกาจะเสื่อมเร็วกว่าเวลาอันควรโดยเฉพาะสายพลาสติกและสายยางชั้นดีทั้งหลายโดนเมื่อไรสีจะเปลี่ยนเป็นสีซีดจางและเปราะง่ายขึ้นหลายเท่า คลอรีนในสระว่ายน้ำก็เป็นศัตรูตัวฉกาจ ที่สามารถสร้างความเสียหายให้กับสายนาฬิกาได้เช่นกัน  แม้จะเป็นสายสเตนเลสสตีล ที่ควรทำความสะอาดด้วยน้ำบริสุทธิ์ทันทีที่ขึ้นจากสระครับ
4  อย่าพยายามซ่อมนาฬิกาควอตซ์หรือนาฬิกาจักรกลด้วยตัวคุณเองเลยครับ  ขนาดช่างซ่อมนาฬิกายังต้องใช้เวลาและประสบการณ์การเรียนรู้และศึกษาการซ่อมนานหลายปี  ถ้านาฬิกามีปัญหานำไปให้ผู้เชี่ยวชาญซ่อมดีกว่า  และควรส่งนาฬิกาเข้าตรวจเช็คอย่างน้อยทุก 3-4ปี แบบเดียวกับที่ดูแลรักษารถเป็นประจำนั่นแหละ  เวลาที่คุณส่งนาฬิกาไปยังศูนย์ซ่อม  ช่างอาจเปลี่ยนชิ้นส่วนที่หมดอายุและชิ้นส่วนที่จำเป็นต้องเปลี่ยนให้ทำความสะอาด
และปรับอัตราการเดินของกลไก  รวมทั้งจะช่วยขัดตัวเรือนนาฬิกาให้ดูใหม่เหมือนเพิ่งแกะออกจากกล่อง  ข้อสำคัญคือ เลือกศูนย์ที่ไว้ใจได้และมีมาตราฐาน
พร้อมรับประกันให้คุณด้วยไม่เช่นนั้นคุณอาจได้อะไหล่ปลอมใส่ในนาฬิกาแทนอะไหล่ที่ไม่เสีย (แถมยังราคาดี) ได้ง่ายๆ

5  อย่าใส่นาฬิกากลไกจักรกลลงเล่นกีฬาหรือกิจกรรมที่มีการกระแทกจนเกินไป เช่น ตีสควอช หวดเทนนิส ฟาดคริคเก็ต และหวดวงสวิงลูกกอล์ฟ
หรือขี่จักรยานเสือภูเขาบนพื้นถนนที่ขรุขระมากๆเป็นเวลานานๆ ก็ควรหลีกเลี่ยงไว้เป็นดี เพราะศัตรูตัวฉกาจของนาฬิกาจักรกลคือการถูกแรงสั่นสะเทือนซ้ำๆ หรือถูกกระแทกอย่างแรง แม้จะมีระบบกันกระเทือนแต่นานไปก็ต้านทานไม่ไหวเหมือนกัน ถ้าชอบเล่นกีฬาที่ใช้แรง แนะนำให้ใส่นาฬิกาที่ออกแบบมาเพื่อกีฬาประเภทนั้นๆดีกว่า หรือถ้าจะให้ดีกว่านี้ ใส่นาฬิกาสปอร์ตควอซ์เลยครับ ปลอดภัยไร้กังวลและไม่เสียดายทีหลังด้วย

6  อย่าคิดว่านาฬิกากลไกจักรกลที่มีระบบปฏิทินตลอดชีพไม่จำเป็นต้องไขลาน เพราะฟังก์ชันปฏิทินที่อยู่ได้นานเป็นเดือนๆหรือเป็นปีๆ โดยไม่ต้องปรับ เพราะถ้าไม่มีพลังงานคุณก็ต้องมาเสียเวลานั่งปรับอีกนั่นแหละ อีกอย่างถึงจะเป็นปฏิทินตลอดชีพ ก็ยังต้องปรับในวันที่ 1 มีนาคม 2100  ตามกฎปีอธิกสุรทิน 400ปี ถ้านาฬิกาปฏิทินตลอดชีพของคุณเป็นนาฬิกาจักรกลและหยุดเดินไปแล้ว คุณไม่ควรปรับตั้งเวลาใหม่และไม่ต้องปรับปฏิทิน  ในช่วงระหว่างเวลา 4 ทุ่มถึงตี 2 (22.00 - 02.00) เพราะอาจทำลายระบบปฏิทินของนาฬิกาได้ และถ้าไม่ได้ใส่นาฬิกาติดข้อมือทุกวัน ลงทุนซื้อกล่องหมุนนาฬิกาที่ใช้พลังแบตเตอรี่มาช่วยไขลานนาฬิกาให้เดินอยู่ตลอดเวลาดีกว่าครับ  ศึกษาวิธีหมุนของตู้ด้วยก็แล้วกันจะได้ใช้อย่างเหมาะสมกับนาฬิการาคาแพงแต่ละรุ่นของคุณ  

7  อย่าคิดว่าสายหนังคือสายที่คงทน ผู้เชี่ยวชาญบางคนแนะนำว่า สายนาฬิกาที่ทำจากหนังหลากหลายมากมาย เช่น หนังจระเข้ ไม่ควรใส่ทุกวันปล่อยให้มันได้พักเพื่อการคลายตัวและคืนรูป และปล่อยให้ความชื้นที่สายหนังรับมาจากข้อมือระเหยไปให้หมดก่อนจะนำมาใส่ใหม่ และแม้ว่าสายหนังจะแปะป้าย "กันน้ำได้"  ก็ไม่ควรใส่อาบน้ำหรือใส่นอนอยู่ดี ส่วนสายโลหะหรือสายทองประเภทต่างๆ ควรได้รับการทำความสะอาดอย่างพิถีพิถันเช็ดเอาฝุ่นและคราบสกปรกออกก่อนที่ฝุ่นจะติดแน่นเกินไป  โดยเฉพาะคราบที่ฝังตัวอยู่ตามข้อต่อสาย ตัวดีนักเชียว

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

ขิง สุดยอดสมุนไพรในตำนาน




ขิง เป็นสมุนไพรที่มีมาตั้งแต่สมัยอดีตกาลนานมาแล้ว

     โดยปรากฏอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอ่านและผลงานเขียนของขงจื๊อ (เมื่อกว่า 3000 ปีมาแล้ว) และขิงก็มีอยู่ในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยมายาวนาน
      ผลการวิจัยล่าสุดพบว่าผู้หญิงที่มีอายุในช่วง 50-60 ปีที่รับประทานขิงเป็นประจำมีประสิทธิภาพของสมองดีขึ้น "ขิง มีส่วนช่วยให้ neuroprotective function ดีขึ้น" Kathleen McFarlane ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพของออสเตรเลียกล่าว "นั่นก็หมายความว่าขิงมีส่วนช่วยในการลดโอกาสการเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้เช่นกัน"
      นอกจากนี้การใส่ขิงป่น 100 กรัมลงไปในสลัดหรือผัดผักที่ท่านรับประทานเป็นประจำ ก็เป็นการเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับอาหารได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย นอกจากจะช่วยบำรุงสมองแล้ว ขิงยังมีฤทธิ์เป็นยาแก้ปวดได้อีกด้วย ขิงมีประสิทธิภาพในการยับยั้งอาการอักเสบของข้อต่อและกล้ามเนื้อ เปรียบเสมือนยาบรรเทาปวด (Analgesic) "สำหรับการบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ, การรับประทานอาหารที่ประกอบด้วยขิงในส่วนผสมควบคู่กับการรับประทานยาปฏิชีวนะ ช่วยให้อาการปวดกล้ามเนื้อหายได้ไวขึ้น" Pam Stone ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจากประเทศออสเตรเลียกล่าว

     สำหรับประโยชน์ของน้ำขิงก็สามารถช่วยบรรเทาอาการของโรคภูมิแพ้ได้เช่นกัน

     การดื่มน้ำขิงอุ่นๆ สามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ อาการคัดจมูกและบรรเทาอาการหวัดได้ การใส่น้ำมะนาว แล้วน้ำผึ้งผสมกับชาขิงร้อนๆก็มีสรรพคุณเป็นยาที่ดีมากมาย รวมไปถึงอาการปวดท้องจากอาการลำไส้แปรปรวน (IBSท้องอืดท้องเฟ้อ "การดื่มน้ำขิงอุ่นๆทุกเช้าสามารถช่วยให้ลำไส้ของท่านทำงานได้ดีมากขึ้น"  McFarlane กล่าว และการวิจัยของประเทศออสเตรเลียก็ค้นพบอีกว่าขิงช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และอาจช่วยต่อต้านโรคเบาหวานได้

    ขิง ช่วยให้อินซูลินทำงานได้ดีขึ้น รวมไปถึงการทำงานของช่องท้องและลำไส้ซึ่งมีความสัมพันธ์กับความดันโลหิตและ หัวใจของเรา และอวัยวะเหล่านี้ก็จะทำงานดีขึ้นหากได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์จากขิง

    ขิงช่วยป้องกันไม่ให้ bad cholesterol LDL แข็งเป็นแผ่น ซึ่ง bad cholesterol นี้จะส่งผลเสียกับระบบโลหิตภายในร่างกายและเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ

    "การรับประทานอาหาร หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมจากขิงเป็นประจำ สามารถช่วยบำรุงร่างกายของท่านได้ดีเยี่ยม แต่อย่างไรก็ตามก็ควรอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมกับร่างกาย และควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่เป็นดีที่สุด" McFarlane กล่าวทิ้งท้าย


      ที่มา : 108health.com

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

25 Healthy Tips อย่ามองข้ามเรื่องเล็กๆ


1. การดื่มน้ำ ปริมาณมากในเวลาอันรวดเร็วอาจก่อให้เกิดสภาวะน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง ร่างกายจึงขับโปแตสเซียมออกจากเซลล์เพื่อปรับสมดุลระหว่างน้ำในเซลล์และนอกเซลล์ ผลที่ตามมาคือเป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็ง หากเกิดอาการเกร็งที่สมอง หัวใจ หรือปอด จะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้ แต่ไม่ต้องกังวลจนเกินไปเพราะหากดื่มน้ำทีละเล็กทีละน้อย แม้ดื่มมากกว่าปกติก็ไม่เป็นอันตรายเพราะไตจะขับออกมาเป็นปัสสาวะ และถ้าเมื่อไรมีอาการจุกนั่นแสดงว่าดื่มน้ำมากไป ควรหยุดได้แล้ว
2. การปล่อยให้ตนเองหิวอาจนำไปสู่โรคร้าย เพราะ ความหิว กระตุ้นร่างกายให้หลั่งฮอร์โมนความเครียด ซึ่งหากเกิดขึ้นเป็นประจำจะทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวานได้ ลองควบคุมความหิวด้วยการแบ่งมื้ออาหารจากวันละ 3 มื้อเป็นมื้อเล็กๆ 5-6 มื้อต่อวัน
3. ชา กาแฟ รวมถึงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอาการปวดหลัง เพราะคาเฟอีนลดการหลั่งสารเอนโดรฟีนซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่ร่างกายผลิตขึ้นและมีฤทธิ์ลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ
4. วิธีง่ายๆ ในการดูแลสุขภาพ คือหลังจากตื่นนอนทุกเช้า จะดื่มน้ำส้มสายชูที่หมักจากผลแอ๊ปเปิ้ล ผสมกับน้ำผึ้งอย่างละ 1 : 1 ใส่น้ำอุ่นคนให้เข้ากันแล้วค่อยเติมน้ำแข็งลงไปเพื่อให้ทานง่ายและมีรสชาติดีขึ้น ซึ่งวิธีนี้จะไปช่วยการดูดซึมของระบบลำไส้ และการเผาผลาญของร่างกาย แต่โรคบางโรคอาจเกิดจากสุขภาพจิตที่อ่อนแอ ในหนึ่งอาทิตย์จึงควรจะมีวันพักผ่อนอย่างจริงจังหรือทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น เล่นโยคะ เพื่อฟื้นฟูสุขภาพกายและลดมลภาวะทางจิตใจไปพร้อมๆ กัน

5. การนอนดึกคืนวันศุกร์-เสาร์แล้วตื่นสายในวันเสาร์-อาทิตย์ ทำให้นาฬิกาชีวภาพของร่างกายตั้งเวลาตื่นใหม่ เมื่อถึงวันจันทร์จึงมีอาการอิดเอื้อนไม่อยากตื่น ทั้งยังทำให้ขาดสมาธิในการทำงานหรือเรียนหนังสืออีกด้วย
6. แสงแดดยามเช้า ไม่ได้ช่วยให้กระดูกแข็งแรงเท่านั้น แต่การออกกำลังกายกลางแดดใน ช่วงเวลาดังกล่าวยังช่วยให้ร่างกายผลิตสารเอนโดรฟีน ซึ่งเป็นสารต่อต้านอาการซึมเศร้าตามธรรมชาติอีกด้วย
7. ความเครียดเป็นตัวการทำลายผิวที่ร้ายแรงที่สุด ฉะนั้นเราต้องปรับความคิดใหม่ และใช้ร่างกายเราอย่างทะนุถนอมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม หาเวลาออกกำลังกายบ้าง และรับประทานอาหารดีๆ
8. แอ๊ปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวี มีประโยชน์ แต่ถ้าคุณรับประทานยาปฏิชีวนะอยู่ควรหลีกเลี่ยงผลไม้เหล่านี้เพราะบูดง่ายในลำไส้ อาจเกิดการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้
9. การไอเรื้อรังอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะที่แพทย์สั่งเพื่อรักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ ให้ใช้วิธีที่สุดแสนธรรมดาแต่ได้ผลมากกว่าคือ ดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ อมยาอมให้ลำคอชุ่มชื่นอยู่ตลอดเวลา และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แค่นี้ก็หายแล้ว
10. การที่เราคิดว่าตัวเองมีสุขภาพดี แถมอายุยังน้อย ทำให้เราชะล่าใจในการดูแลรักษาสุขภาพ เวลาเกิดอะไรผิดปกติขึ้นกับร่างกายจะคิดว่าช่างมัน เดี๋ยวคงหายเอง ซึ่งไม่ถูกต้อง

 
11. เมื่อมีอาการเท้าและข้อเท้าบวม ให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาที แล้วขยับข้อเท้าไปข้าง หน้าและข้างหลัง เพื่อช่วยให้โลหิตไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงที่ขนทำจากวัสดุธรรมชาติ แปรงผิวหนังเบาๆ เริ่มบริเวณฝ่าเท้าซึ่งเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย แล้วค่อยๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวาน เพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) จากนั้นอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น
12. ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน และรับประทานไข่มากกว่าอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เสี่ยงเป็นโรคหัวใจมากขึ้น
13. ผู้ที่รับประทานไข่ เป็นเวลา 8 อาทิตย์ ลดน้ำหนักได้มากกว่าผู้ที่ไม่รับประทานถึง 65 เปอร์เซ็นต์ และรอบเอวลดลงเกือบสองเท่า เพราะผู้ที่รับประทานไข่รู้สึกอิ่มกว่าการรับประทานขนมปัง ทำให้รับประทานอาหารกลางวันและอาหารเย็นน้อยลง
14. การรับประทานอาหารไปดูหนังไป ทำให้รับประทานอาหารมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าจะกินอิ่มมาแล้วหรือรสชาติของอาหารไม่ได้เรื่องเลยก็ตาม นอกจากนี้ไฟสลัวๆ ทำให้ผู้ที่รับประทานอาหารไม่ค่อยระวังตัว เพลิดเพลินเจริญอาหารไปเรื่อย
15. เสียงเพลง มีอิทธิพลต่ออารมณ์ของคนเรายิ่งดนตรีมีจังหวะเร็วเท่าไรก็ยิ่งกระตุ้นให้รับประทานอาหารมากขึ้นเท่านั้น
16. การดื่มน้ำ (เปล่า)เย็น 50 ออนซ์ (8 ออนซ์= 1 ถ้วย) จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี เท่ากับช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 5 ปอนด์หรือ 2.5 กิโลกรัม เพราะการดื่มน้ำเปล่าไม่ทำให้ร่างกายได้รับพลังงาน แต่ต้องใช้พลังงานในการเผาผลาญน้ำ ยิ่งไปกว่านั้นน้ำเย็นทำให้ร่างกายต้องใช้พลังงานเผาผลาญมากขึ้นอีก
17. การออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนักและพิลาทิส ควบคู่กันไป จะช่วยพัฒนาความแข็งแรงของปอดและหัวใจ รวมถึงความแข็งแรงและยืดหยุ่นของโครงสร้าง และการรับประทานอาหารมื้อย่อยๆ 5 มื้อต่อวัน โดยมื้อกลางวันจะเน้นอาหารประเภทโปรตีนเพียง 1 มื้อ นอกนั้นเน้นผักและผลไม้ จะทำให้มีพลังงานที่พอเหมาะในการใช้งาน และไม่ทิ้งไขมันส่วนเกินสะสม
18. ผู้ชายที่รับประทานมะเขือเทศ ซึ่งมีไลโคปีนสูงอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้น เสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ วิธีง่ายๆ ให้นำมะเขือเทศไปปั่นให้ละเอียดเติมน้ำมันมะกอกและนำไปปรุงสุก ความร้อนจะช่วยให้มะเขือเทศปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น
19. รับประทานแอ๊ปเปิ้ลหนึ่งชิ้นหลังอาหาร ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลาย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญใน การลดแบคทีเรียในช่องปากและช่วยให้เหงือกแข็งแรง การรับประทานสับปะรดและมะละกอคือก่อนอาหารประมาณ 2-3 ชิ้น ดีต่อกระเพาะอาหารเพราะมีเอนไซน์ซึ่งช่วยย่อย จึงเท่ากับช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่ตามลงมาได้ง่ายขึ้น
20. หากไม่อยากมีกรดในกระเพาะมากเกินไป ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่างเช่นมะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุ๊ต หรือน้ำมะเขือเทศสดปั่น หรือทำให้เจือจางด้วยการผสมน้ำเข้าไป

 
21. สำหรับหนุ่มเจ้าสำราญ ที่ชอบปาร์ตี้หามรุ่งหามค่ำ ก็สามารถฟื้นฟูร่างกายได้ด้วยการนอนหลับให้นานหน่อย อีกวิธีหนึ่งในการดูแลตัวเองคือมีแฟนเด็ก จะได้มีแรงกระตุ้นให้เราทำตัวเด็กตาม ต้องดูดีตลอดเวลา เพราะฉะนั้นอบายมุข การเที่ยวกลางคืนก็เป็นอันต้องงด
22. การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะเกมที่ต้องใช้สมาธิ ช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันโรคอัลเซเมอร์ได้ เกมอื่นๆ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ หรือเลือกเรียนดนตรี ก็ช่วยได้เช่นกัน
23. การใช้พลาสติกใส่อาหารหรือปิดอาหาร รวมถึงใส่จานชามพลาสติกในไมโครเวฟ เพราะความร้อนจะทำให้พลาสติกปนเปื้อนในอาหาร เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม
24. ก่อนตั้งครรภ์ ควรเตรียมตัวล่วงหน้าประมาณ 3 เดือน 1.ดูแลเรื่องอาหารการกิน เน้นโฟเลต แคลเซียม วิตามินต่างๆ ป้องกันอาการแพ้ท้องหรืออยากอาหารประหลาดๆ 2.ร ะวังเรื่องการรับประทานยาทุกชนิด อ่านฉลากให้ดี เพราะอาจทำร้ายลูกโดยไม่เจตนา 3. ทำใจให้สบาย คิดในแง่บวก 4. ออกกำลังกายที่เหมาะสม
25. ถ้ามื้อนั้นรับประทานเนื้อสัตว์ในปริมาณมาก ไม่ควรรับประทานผลไม้อีก เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ทำให้ผลไม้ที่ย่อยเสร็จไปเรียบร้อยแล้วถูกกักอยู่ในกระเพาะ เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

10 อันดับ เมืองเก่าแก่ที่สวยที่สุดในโลก




อันดับที่ 10 Delhi
3,000 years


อันดับที่ 9 Rome
753 BCE


อันดับที่ 8 Xi’an
3,100 years


อันดับที่ 7 Lisbon
3,200 years


อันดับที่ 6 Athens
3,500 years


อันดับที่ 5 Tel Aviv
4,000 years


อันดับที่ 4 Jerusalem
6,000 years


อันดับที่ 3 Beirut
5,000 years


อันดับที่ 2 Plovdiv
since 6,000


อันดับที่ 1 Damascus
12,000 years

นำมาจาก www.dek-d.com

วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

นำขวดพลาสติก มาใส่น้ำดื่มอีกครั้ง เป็นอันตรายจริงหรือ




หลายคนอาจเคยได้ยินได้ฟังข่าวเกี่ยวกับการนำขวดพลาสติกใส่บรรจุน้ำดื่ม หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ขวด PET นั้นว่า หากเรานำกลับมาใช้ซ้ำเพื่อใส่น้ำดื่ม หรือทิ้งขวดตากแดดไว้นานๆ สาร DEHA (diethyl hydroxylamine) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่ผสมอยู่ในเนื้อขวดพลาสติกนั้น สามารถออกมาปนเปื้อนกับน้ำในขวดได้จนทำให้ใครต่อใคร ไม่แน่ใจในความปลอดภัยและพากันใช้แล้วทิ้งขวดน้ำเหล่านั้นไปอย่างน่าเสียดาย
ขวด PET ที่เราใช้กันมากมายทุกวันนี้ ทำจาก พลาสติกโพลีเอทีลีนเทอเรพทาเลท (Polyethylene Terephthalate) หรือ PET ซึ่งเป็นพลาสติกมีความโปร่งใส แข็งแรงทนทาน เหนียว ไม่แตกง่าย สามารถป้องกันการซึมผ่านของก๊าซ (Gas) ได้ดี และทนต่ออุณหภูมิได้ไม่เกิน 70 ถึง 100 องศาเซลเซียส ปัจจุบัน เรามักนำไปใช้เป็นขวดบรรจุน้ำอัดลม น้ำดื่ม น้ำมัน น้ำมันพืช น้ำปลา น้ำยาบ้วนปาก กล่องขนม ฯลฯ เนื่องจากมีความใสที่ใกล้เคียงกับขวดแก้วแต่มีน้ำหนักเบาและมีราคาที่ถูกกว่าแก้ว พลาสติกชนิดนี้จึงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง
วันนี้หลายสถาบันได้ออกประกาศยืนยันความปลอดภัยในการใช้งาน ขวด PET อาทิ สมาคมพลาสติกสหรัฐอมเริกา (The America Plastics Council) ยืนยันว่า “วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตขวด PET ไม่มีสาร DEHA เป็นสารประกอบ” ส่วนองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (The US Food and Drug Administration)และองค์กรด้านความปลอดภัยทางอาหาร (Food Safety Authority) แห่งประเทศนิวซีแลนด์ ก็ออกมายืนยันแล้วว่า “ขวด PET ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยของภาชนะบรรจุอาหาร” เช่นกัน ซึ่งสอดคล้องกับ การศึกษาของสถาบันวิทยาศาตร์ธรรมชาติแห่งสหรัฐอเมริกา (Institutional Life Sciences Institute) ที่กล่าวว่า“ระดับความเป็นไปได้ที่สารปนเปื้อนจะแพร่ออกจากขวด PET ต่ำกว่ามาตรฐานด้านความปลอดภัยที่กำหนดไว้ และปริมาณของสารปนเปื้อนก็ต่ำกว่าระดับที่จะก่อให้เกิดผลทางพิษวิทยา”
จากคำยืนยันที่กล่าวมา คงช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ผู้บริโภคอย่างเราๆ ท่านๆ ถึงความปลอดภัยในการใช้ซ้ำขวด PET กันได้มากขึ้น ซึ่งนอกจากจะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าตังค์กันได้โขแล้ว ถือว่าเรายังจะเป็นอีกแรงที่ได้ช่วยรักษาทรัพยากรและสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับโลกของเราใบนี้อีกด้วย
ที่มา : พรรณนิภา ไกรลาสนฤมิต จากข้อมูลองค์ความรู้ "สภาวิศวกร"