ก็อย่างที่โบราณเค้าว่ากันว่า หวานเป็นลมขมเป็นยา สิ่งที่น่าคิดก็คือ ทำไมของที่มีประโยชน์ส่วนใหญ่มักจะมีรสชาติที่ไม่น่ารับประทาน ไม่อร่อยลิ้นเอาเสียเลย ก็อย่างเช่นเจ้ามะระนี่หล่ะค่ะ ที่มีรสชาติขมซะจนไม่อยากจะรับประทาน ภายใต้หน้าตาที่อัปลักษณ์ของมัน ถึงเวลาแล้วที่เราจะหันมาปฏิวัติการกินเสียใหม่นะคะ ชาวเอเชียรู้จักกันดีถึงสรรพคุณของมะระ แต่ชาวฝั่งตะวันตกกลับกลัวที่จะกินมัน ทั้งที่ยังไม่รู้ประโยชน์ที่แสนจะอัศจรรย์ของมันแม้แต่น้อย เรามาดูประโยชน์ของมะระกันเลยดีกว่านะคะ
อย่างแรกเลย คือ ความขมของมะระนั้นสามารถช่วยให้เราเจริญอาหาร เพราะสารขมที่อยู่ในมะระนั้นจะช่วยกระตุ้นให้น้ำย่อย ออกมามากจึงทำให้รับประทานอาหารได้มากขึ้น ซึ่งเราอาจจะนำมะระไปลวก หรือเผาไฟจิ้ม แล้วนำมาจิ้มกับน้ำพริกก็ได้นะคะ
ต่อมา..ก็คือ คุณสมบัติในการการบำบัดและรักษาโรคเบาหวานระยะเริ่มต้น ด้วยสารอาหารในมะระ ซึ่งทำหน้าที่เพิ่มเบต้าเซลล์ในตับอ่อน โดยการกระตุ้นให้เกิดการสร้างอินซูลิน (ฮอร์โมนควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด) อีกทั้งมะระยังมีเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ย่อยน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต สารอาหารจะผสมอยู่ในรูปของโปรตีน ซึ่งสามารถบรรเทาอาการเจ็บป่วยที่เกิดจากโรคตับและโรคเบาหวานได้ มะระยังสามารถแก้โรคตับอักเสบ ปวดหัวเข่า ม้ามอักเสบได้ค่ะ โดยรับประทานมะระดิบเป็นประจำจะช่วยได้ค่ะ
นอกจากนี้มะระยังมีคุณค่าทางอาหารมากมาย เพราะอุดมไปด้วยฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี วิตามินบี1 - บี3, เบต้าแคโรทีน, ไฟเบอร์, ธาตุเหล็ก, โพแทสเซียม, เป็นต้น
เมนูอาหารจากมะระ ได้แก่ ต้มจืดมะระยัดไส้, มะระต้มจับฉ่าย, ผัดะมะระหมูสับ, มะระผัดกุ้ง, มะระผัดน้ำมันหอย เป็นต้น หากจะลดความขมของมะระต้องลวกหรือต้มนาน ๆ โดยคลุกเคล้ากับเกลือก่อนที่จะนำไปปรุง หรือต้มน้ำแล้วเทน้ำทิ้ง 1 ครั้ง ก่อนนำมารับประทาน จะช่วยให้กินมะระได้อย่างสบายใจ
แถมท้ายอีกนิดนะค่ะ ด้วยข้อควรระวัง เราทานมะระที่ดิบ ๆ กันได้ แต่ห้ามรับประทานมะระที่มีผลสุกนะค่ะ เพราะอาจทำให้คลื่นไส้ อาเจียนได้ค่ะ เนื่องจากมีสารซาโปนินอยู่มาก ซึ่งสารนี้จะทำให้เป็นพิษต่อร่างกายค่ะ อีกอย่าง อย่าทานมะระมากจนเกินไปนะค่ะ เพราะจะทำให้ท้องเสีย เนื่องจากมีฤทธิ์เป็นยาระบาย
โอ้โห!!! ไม่น่าเชื่อเลยนะค่ะ ว่ามะระที่มีรสชาติที่ขม ไม่น่ารับประทาน ที่ใครหลายคนไม่ชอบรับประทานกันนั้น จะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายจนเราคาดไม่ถึงขนาดนี้ ดังนั้นเราควรจะหันมารับประทานมะระกันบ้างนะค่ะ จะได้มีสุขภาพที่ดีกันนะค่ะ
วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555
10 ผัก สามัญประจำบ้าน
วันนี้เราจะมาแนะนำให้รู้จักพืชผักสามัญ ที่ควรมีไว้ติดบ้าน เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยเป็นโรคง่าย ๆ ไปทำความรู้จักกันเลย
1.ขิง สมุนไพรรสร้อนแรง แต่ดีต่อสุขภาพนัก กินไล่หวัดได้ดี เหมาะกับบำรุงร่างกายในหน้าฝนและหน้าหนาว น้ำขิงอุ่น ๆ จะช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อน แก้เมารถ ไมเกรน ปวดตามข้อ ลดคอเลสเตอรรอลได้ดีด้วย ส่วนวิธีนำมาใช้ สามารถนำมาใช้ได้ทั้งแก่และอ่อน เหง้าอ่อนใช้ปรุงอาหารคาวหวาน ดับกลิ่นคาวได้ดี จะกินเป็นเครื่องเคียงก็ได้ ส่วนขิงแก่ มักจะนำมาทำเป็นน้ำขิง
2.สะระแหน่ ถ้าเรารู้จักมิ้นท์ของฝรั่ง เราก็ควรรู้จักสะระแหน่ เพราะตระกูลเดียวกัน กลิ่นของสะระแหน่นั้นจะเย็น ๆ มีสรรพคุณเป็นยาเย็น ใช้ดับร้อนได้ดี ถอนพิษไข้ ขับลม ขับเหงื่อ ลดความเครียด ใบสดของสะระแหน่ สามารถนำมาบดใช้ทาผิวให้ชุ่มชื้นได้ แก้พิษแมลงกัดต่อย ไล่ยุง และบรรเทาอาการปวดได้ดีกว่ายาแก้ปวดเสียด้วย เรามักพบสะระแหน่ได้มากในอาหารประเภท ยำ ลาภ น้ำตก ต้มยำ หรืออาหารรสจัด ก็เพื่อให้บรรเทารสชาติอันเผ็ดร้อนนั่นเอง
3.แมงลัก สาว ๆ หลายคนรู้จักดี เพราะมักเป็นหนึ่งในส่วนผสมของสูตรอาหารลดความอ้วน จริง ๆ แล้วสรรพคุณของเจ้าแมงลักนั้น มีฤทธิ์เป็นยาระบาย เพราะเมือกสีขาวรอยเมล็ด จะทำให้อุจจาระอ่อนตัวลง ช่วยขับพิษในลำไส้ นอกจากนี้ใบอ่อนมีแคลเซียมสูง บำรุงกระดูกได้ดี
4.กระเพรา ใครชอบกินผักกระเพราบ้าง น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก แทบทุกคนต้องเคยทานอาหารเมนูจานนี้แน่นอน รู้หรือไม่ว่า ใบกระเพราเป็นแหล่งของฟอสฟอรัสและวิตามินเอ ในปริมาณสูง ช่วยขับลมในกระเพาะ ช่วยย่อยอาหาร แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ กระตุ้นการขับน้ำดี ช่วยย่อยไขมัน ลดการจุกเสียด ป้องกันโรคมะเร็ง หัวใจขาดเลือด ช่วยขับน้ำนมให้สตรีหลังคลอด น้ำคั้นจากใบช่วยขับเหงื่อ แก้ไข้ ขับเสมหะ ทาผิวแก้กลากเกลื้อน คั่นเอาน้ำหยอดหูแก้ปวดหู ใบสดขยี้ให้มีกลิ่นไล่แมลงได้ หรือไว้ทาหูดก็ดี นอนจากนี้ถ้านำมาต้ม สามารถดื่มบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนได้
5.โหระพา ผักอีกชนิดที่ให้รสร้อนแรง แต่อุดมด้วยแคลเซียมและเบต้าแคโรทีน ซึ่งมีส่วนในการป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด มะเร็ง ช่วยย่อยอาหาร แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ขับลมในลำไส้ แก้หวัดและขับเหงื่อ ถ้านำเมล็ดไปแช่น้ำ จะนำมารักษาโรคบิดได้ ช่วยให้ลำไส้หล่อลื่นขึ้น โหระพาอยู่ในอาหารพวกแกง ผัด ทอด หรือจะกินสดก็ได้
6.กระชาย กลิ่นหอมแรง สรรพคุณช่วยขับปัสสาวะ ขับระดูขาว บำรุงร่างกาย ขับลมได้ดี ใช้เหง้าสดทุบพอแตกต้มน้ำดื่มแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ บ้างว่าสามารถช่วยกระตุ้นสมรรถภาพทางเพศได้ด้วย โดยมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า "โสมไทย"
7.ตะไคร้ หลายคนชอบดื่มน้ำ เพราะมีรสชาติเผ็ดนิด ๆ อีกทั้งยังเป็นส่วนผสมสำคัญในต้มยำอีกด้วย คุณประโยชน์ บำรุงธาตุ แก้โรคทางเดินปัสสาวะ นิ่ว ขับลมในลำไส้ ช่วยให้เจริญอาหาร แก้โรคหืด อหิวาตกโรค บำรุงสมอง แก้เกลื้อน ที่สำคัญถ้าปลูกไว้รอบ ๆ บ้าน จะสามารถไล่ยุงได้
8.ข่า ประดับก็ดี แถมกินก็ได้ประโยชน์ เรามักกินตอนที่มักยังอ่อน หน่ออ่อนหรือช่อดอกอ่อนจะไว้กินกับน้ำพริก รสชาติเผ็ดปร่า เหง้าใช้เป็นเครื่องพริกแกงหรือเครื่องต้มยำ ข้อดีของข่าคือ ช่วยขับลมไม่ให้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้จุกเสียด โรคกระเพาะ ลดไขมัน แก้หลอดลมอักเสบ และยังเป็นยาระบายอ่อน ๆ ด้วย
9.พริก รสชาติร้อนแรงจัดจ้าน มีสาระสำคัญที่เรียกว่า แคปไซซิน (Capsaicin) จะกระตุ้นการหลั่งน้ำลาย ช่วยเจริญอาหาร เลือดไหลวเวียนได้ดี ช่วยขับลม แก้หวัด ขับเหงื่อ ป้องกันหลอดเลือดตีบตัน ต้อกระจก และมะเร็งบางชนิด
10.มะกรูด เรามักจะเคยได้ยินว่า น้ำมะกรูดนำมาสระผมได้ แก้รังแคและคันศีรษะ ทำให้ผมดกดำเงางาม แต่ถ้าเราสามารถนำมากินแก้ไอ แก้เจ็บคอ ใช้แทนยาสีฟัน ทำให้เหงือกแข็งแรง กลิ่นของมะกรูดจะช่วยดับกลิ่นคาวในอาหาร ช่วยไล่มดแมลง และมอดในถังข้าวสารได้ด้วย นอกจากนี้ถ้าเรานำมะกรูดมาตากแห้งแล้วบดเป็นผง จะเป็นยาบำรุงเลือดและเป็นยาระบายได้ด้วย
พืชผักของไทย ไม่ใช้มีไว้แค่กิน แต่ยังเป็นสมุนไพรทั้งบำรุงและรักษาร่างกายจากการเจ็บป่วย ราคาก็ถูกแสนถูก หากนำมาใช้อย่างถูกต้อง ก็ไม่ต้องไปเสียเงินให้ยาฝรั่งราคาแพงเลย เห็นทีคงต้องมีติดบ้านไว้เสียแล้ว
ที่มา : Never-Age.com
วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555
ประวัติของนีล อาร์มสตรอง

นีล อาร์มสตรอง (Neil Alden Armstrong)เกิดวันที่ 5 สิงหาคม 2473 ที่ฟาร์มในรัฐโอไฮโอ เขาหลงใหลในการเป็นนักบินตั้งแต่เด็ก ได้รับใบอนุญาตขับเครื่องบินในวัยเพียง 16 ปีเท่านั้น และด้วยความรักในการบิน เขาได้เข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี ด้านวิศวกรรมศาสตร์พื้นฐานการบิน จากมหาวิทยาลัยเพอร์ดู และ ปริญญาโทสาขาเดียวกัน จากมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย
นีล อาร์มสตรอง เป็นนักบินทดสอบให้กับองค์การนาซามาก่อน เขาได้รับคัดเลือกเป็นนักบินอวกาศเมื่อปี พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) และปฏิบัติภารกิจหลายภารกิจในโครงการเจมินีและโครงการอะพอลโล
พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) เขาเป็นผู้บัญชาการของโครงการโครงการอะพอลโล 11 ซึ่งมีเป้าหมายนำยานไปจอดบนดวงจันทร์ โดยสมาชิกในทีมคือ เอ็ดวิน อัลดริน และไมเคิล คอลลินส์ เขาสามารถปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายสำเร็จ เขากล่าวประโยคนี้เมื่อเหยียบลงบนพื้นผิวของดวงจันทร์ "นี่คือก้าวเล็กๆของมนุษย์คนหนึ่ง แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ (That’s one small step for man, one giant leap for mankind)"
นีล อาร์มสตรอง เป็นนักบินทดสอบให้กับองค์การนาซามาก่อน เขาได้รับคัดเลือกเป็นนักบินอวกาศเมื่อปี พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) และปฏิบัติภารกิจหลายภารกิจในโครงการเจมินีและโครงการอะพอลโล
พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) เขาเป็นผู้บัญชาการของโครงการโครงการอะพอลโล 11 ซึ่งมีเป้าหมายนำยานไปจอดบนดวงจันทร์ โดยสมาชิกในทีมคือ เอ็ดวิน อัลดริน และไมเคิล คอลลินส์ เขาสามารถปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายสำเร็จ เขากล่าวประโยคนี้เมื่อเหยียบลงบนพื้นผิวของดวงจันทร์ "นี่คือก้าวเล็กๆของมนุษย์คนหนึ่ง แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ (That’s one small step for man, one giant leap for mankind)"
หลังการเกษียณอายุจากองค์การนาซา อาร์มสตรอง ได้ประกอบธุรกิจส่วนตัว และเป็นอาจารย์ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัซินซิเนติ เป็นเวลาเกือบ 10 ปี ด้านชีวิตส่วนตัว อาร์มสตรอง สมรสกับ นางเจเน็ต มีบุตรชายด้วยกัน 2 คน และได้หย่าร้าง หลังจากครองคู่กันมานานถึง 38 ปี จากนั้นเขาได้แต่งงานใหม่กับ แครอล ไนท์ ในปี 2542
นีล อาร์มสตรอง เสียชีวิตลงแล้ว หลังจากเข้ารับการผ่าตัดหัวใจและหลอดเลือด แล้วเกิดอาการภาวะแทรกซ้อน เป็นเหตุให้เขาเสียชีวิตลงในวัย 82 ปี เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2555
เรียบเรียงโดย สนุก! กูรู
นีล อาร์มสตรอง เสียชีวิตลงแล้ว หลังจากเข้ารับการผ่าตัดหัวใจและหลอดเลือด แล้วเกิดอาการภาวะแทรกซ้อน เป็นเหตุให้เขาเสียชีวิตลงในวัย 82 ปี เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2555
เรียบเรียงโดย สนุก! กูรู
วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555
คนไทยอ่านหนังสือ 35 นาที/วัน
สํานักงานสถิติแห่งชาติ สํารวจการอ่านหนังสือของประชากร พ.ศ. 2554 โดยเก็บรวบรวมข้อมูล ระหว่างเดือนพฤษภาคม -มิถุนายน จากจํานวนครัวเรือนตัวอย่างประมาณ 53,000 ครัวเรือน

ผลการสารวจที่สำคัญ สรุปได้ดังนี้ การอ่านของเด็กเล็ก นอกเวลาเรียน ทั้งการอ่านด้วยตัวเองและมีผู้ใหญ่อ่านให้ฟัง พบว่า เด็กเล็กมีอัตราการอ่านหนังสือ ร้อยละ 52.8 เพิ่มขึ้นจากการสำรวจในปี 2551 โดยเด็กผู้หญิงอัตราการอ่านหนังสือสูงกว่าเด็กผู้ชาย คือร้อยละ 55.9 และ 49.9 ตามลําดับ

ขณะที่เด็กในเขตเทศบาล อ่านหนังสือสูงกว่า เด็กนอกเขตเทศบาล โดยเด็กเล็กในกรุงเทพมหานคร มีอัตราการอ่านหนังสือสูงสุด ร้อยละ 67.2 และเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นมากกว่าพื้นที่อื่นๆ ขณะที่ภาคกลาง เด็กเล็ก มีอัตราการอ่านหนังสือต่ำสุด ร้อยละ 47.4

ขณะที่อัตราการอ่านนอกเวลาเรียนและนอกเวลาทำงานของคนไทยที่อายุตั้งแต่ 6 ปี ขึ้นไป เปลี่ยนไปจากการอ่านของเด็กเล็กคือ มีอัตราการอ่านร้อยละ 68.8 มากกว่าเด็กเล็ก และผู้ชายอ่านมากกว่าผู้หญิงเล็กน้อย คือร้อยละ 69.3 และ 68.3 ตามลำดับ

ขณะที่กรุงเทพมหานคร ยังเป็นพื้นที่ที่มีการอ่านของคนกลุ่มนี้มากที่สุดในประเทศเช่นเดิม คือร้อยละ 89.3 ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นพื้นที่ที่มีอัตราการอ่านหนังสือต่ำที่สุดคือ ร้อยละ 62.8

เมื่อพิจารณาจากช่วงอายุ พบว่า วัยเด็กอายุ 6-14 ปี มีอัตราการอ่านหนังสือสูงสุดถึงร้อยละ 91.2 รองลงมาคือเยาวชน อายุ 15-24 ปี อ่านหนังสือร้อยละ 77.9 วัยทํางานอายุ 25-59 ปีอ่านหนังสือร้อยละ 66.5 และตํ่าสุดคือวัยสูงอายุ อายุ 60 ปีขึ้นไป อ่านหนังสือร้อยละ 43.9

เมื่อนำผลการสำรวจนี้ไปเปรียบเทียบกับปี 2551 มีเพียงกลุ่มเยาวชนเท่านั้น ที่มีอัตราการอ่านหนังสือลดลง ส่วนจำนวนเวลาที่กลุ่มตัวอย่างใช้ในการอ่านหนังสือนอกเวลาเรียนและนอกเวลาทำงานคือ ผู้ที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไป อ่านหนังสือเฉลี่ย 35 นาทีต่อวัน โดยกลุ่มเด็กและเยาวชน ใช้เวลาอ่านเฉลี่ย 40-41 นาทีต่อวัน มากกว่า วัยทำงานและสูงอาย ที่ใช้เวลาอ่านหนังสือเฉลี่ย 31-32 นาทีต่อวัน

เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2551 พบว่ากลุ่มเด็กคืออายุ 6-14 ปี ใช้เวลาอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย คือจาก 38 นาที เพิ่มเป็น 41 นาที ในขณะที่กลุ่มอื่นๆ อ่านหนังสือลดลงทั้งหมด

นำมาจากเว็ป สนุกดอทคอม
7 สูตรสำเร็จเพิ่มความฉลาด

ใครที่รู้สึกว่าสมองอ่อนล้า เฉื่อย ชา และความจำถดถอย เรามีวิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการจดจำให้กับสมองมาฝาก...
1. บริหารสมองอยู่เสมอ
ยิ่งเราใช้สมองมากและบ่อยเท่า ไหร่ เซลล์สมองจะยิ่งเจริญเติบโตมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งนั่นก็จะส่งผลให้ความสามารถในการจำดีขึ้นตามไปด้วย วิธีบริหารสมอง เช่น การเล่นหมากฮอส ต่อจิ๊กซอว์ หรือเล่นครอสเวิร์ดในเวลาว่าง
ยิ่งเราใช้สมองมากและบ่อยเท่า ไหร่ เซลล์สมองจะยิ่งเจริญเติบโตมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งนั่นก็จะส่งผลให้ความสามารถในการจำดีขึ้นตามไปด้วย วิธีบริหารสมอง เช่น การเล่นหมากฮอส ต่อจิ๊กซอว์ หรือเล่นครอสเวิร์ดในเวลาว่าง
2. กินยาเสริมความจำ
มีผลการวิจัยยืนยันว่าหลังจาก การกินโสมในปริมาณ 400 มิลลิกรัมไปแล้ว 1 ชั่วโมง จะทำให้ความสามารถในการจำดี ขึ้นและส่งผลต่อไปอีกถึง 6 ชั่วโมง แปะก๊วยก็มีการยืนยันว่าส่งผลดีต่อระบบความจำเหมือนกัน เพราะจะไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตในสมอง นอกจากนี้ยังมีการศึกษาในอเมริกาพบว่า Vinpocetine ที่สกัดได้ขากต้น Periwinkle (ไม้ เลื้อยชนิดหนึ่งที่มีดอกสีฟ้า ใบเข้มเป็นมัน) นั้นจะช่วยเพิ่มความจำและความจดจ่อในสิ่งที่กำลังทำอยู่ ให้มากขึ้นได้
มีผลการวิจัยยืนยันว่าหลังจาก การกินโสมในปริมาณ 400 มิลลิกรัมไปแล้ว 1 ชั่วโมง จะทำให้ความสามารถในการจำดี ขึ้นและส่งผลต่อไปอีกถึง 6 ชั่วโมง แปะก๊วยก็มีการยืนยันว่าส่งผลดีต่อระบบความจำเหมือนกัน เพราะจะไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตในสมอง นอกจากนี้ยังมีการศึกษาในอเมริกาพบว่า Vinpocetine ที่สกัดได้ขากต้น Periwinkle (ไม้ เลื้อยชนิดหนึ่งที่มีดอกสีฟ้า ใบเข้มเป็นมัน) นั้นจะช่วยเพิ่มความจำและความจดจ่อในสิ่งที่กำลังทำอยู่ ให้มากขึ้นได้
3. กินผักและผลไม้สดเนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีอยู่สูงในผักและผลไม้สดจะไปทำลายอนุมูลอิสระซึ่งเกิดจากการสะสมเป็น เวลานานของเนื้อเยื่อไขมันอันจะทำให้สมองอ่อนแอลง และ ช่วยชะลออาการความจำถดถอยในผู้สูงอายุ อาทิ ผมไม้ที่มีสีแดง ม่วง และน้ำเงิน โดยเฉพาะตระกูลเบอร์รี่ ต่างๆ จะมีสารต้านอนุมูลอิสระชนิดที่มีความเข้มข้น สูงที่เรียกว่า Anthocyanidin
4. ลดปริมาณแอลกอฮอล์
เพราะจะส่งผลต่อการปลดปล่อย สาระสำคัญในสมองโดยจะไปขัดขวางความสามารถในการสร้างความจำใหม่ ๆ โดยเฉพาะข้อมูลที่เป็นชื่อ ตัวเลข และเหตุการณ์ณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ยิ่ง ไปกว่านี้ ความสามารถในการระลึกเหตุการณ์หรือ เรื่องราวเก่า ๆ ในอดีตก็จะถูกบั่นทอนไปด้วย
เพราะจะส่งผลต่อการปลดปล่อย สาระสำคัญในสมองโดยจะไปขัดขวางความสามารถในการสร้างความจำใหม่ ๆ โดยเฉพาะข้อมูลที่เป็นชื่อ ตัวเลข และเหตุการณ์ณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ยิ่ง ไปกว่านี้ ความสามารถในการระลึกเหตุการณ์หรือ เรื่องราวเก่า ๆ ในอดีตก็จะถูกบั่นทอนไปด้วย
5. ออกกำลังกาย
ขณะที่ร่างกายของเราเคลื่อน ไหวนั้นสมองจะได้รับเลือดมากเป็นพิเศษซึ่งนั่นหมายถึงว่าสมองจะได้รับกลูโคส และออกซิเจนมากขึ้นทำให้สมองแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังไปเพิ่มประสิทธิภาพในการกระตุ้นความจำของสารเคมีในสมองที่ เรียกว่า Brain-Derived Neurotrophic Factor) ให้ ทำงานได้ดีขึ้นด้วย
ขณะที่ร่างกายของเราเคลื่อน ไหวนั้นสมองจะได้รับเลือดมากเป็นพิเศษซึ่งนั่นหมายถึงว่าสมองจะได้รับกลูโคส และออกซิเจนมากขึ้นทำให้สมองแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังไปเพิ่มประสิทธิภาพในการกระตุ้นความจำของสารเคมีในสมองที่ เรียกว่า Brain-Derived Neurotrophic Factor) ให้ ทำงานได้ดีขึ้นด้วย
6. จดบันทึกช่วยจำ
เพราะโดยธรรมชาติของสมองเรา นั้นเมื่อจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งตรงหน้า ความ สามารถในการจดจำสิ่งอื่นก็จะลดลง ฉะนั้นการย้าย ข้อมูลจากสมองมาเก็บไว้ในสมุดบันทึกอย่างคอมพิวเตอร์ ปาล์ม หรือโทรศัพท์มือถือ ก็เหมือสเป็นการช่วยลดความหนาแน่นของข้อมูลหรือเพิ่มพื้นที่ว่าง ในสมองเพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง
เพราะโดยธรรมชาติของสมองเรา นั้นเมื่อจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งตรงหน้า ความ สามารถในการจดจำสิ่งอื่นก็จะลดลง ฉะนั้นการย้าย ข้อมูลจากสมองมาเก็บไว้ในสมุดบันทึกอย่างคอมพิวเตอร์ ปาล์ม หรือโทรศัพท์มือถือ ก็เหมือสเป็นการช่วยลดความหนาแน่นของข้อมูลหรือเพิ่มพื้นที่ว่าง ในสมองเพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง
7. ทำสมาธิ
สมองของคนเรานั้นทำงานที่ความ ถี่หรือคลื่นสมองที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ เรากำลังทำหรือคิดอยู่ ภายใต้ความเครียดที่เกิด ขึ้น คลื่นเบต้าของสมองจะทำงานเร็วขึ้นซึ่งจะส่งผล ให้สมองลืมสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ฉะนั้นเราควรคิด ให้ช้าลง โดยการทำสมาธิ หลับ ตาลงช้าๆ หายใจเข้าเบาๆ ช้าๆ โดยตั้งสติอยู่ที่ปลายจมูก จาก นั้นหายใจออกช้าๆ โดยตั้งสติอยู่ที่ช่องจมูกทางขวา จากนั้นหายใจเข้าอีกครั้ง แต่ ครั้งนี้เวลาผ่อนลมหายใจออกให้ตั้งสติที่ช่องจมูกทางซ้าย ทำเช่นนี้สลับกันประมาณ 10 นาที ทุกวันรับรองว่าสมองตื้อๆ ตันๆ จะกลับมาโล่งโปร่งใสเหมือนเดิม
สมองของคนเรานั้นทำงานที่ความ ถี่หรือคลื่นสมองที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ เรากำลังทำหรือคิดอยู่ ภายใต้ความเครียดที่เกิด ขึ้น คลื่นเบต้าของสมองจะทำงานเร็วขึ้นซึ่งจะส่งผล ให้สมองลืมสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ฉะนั้นเราควรคิด ให้ช้าลง โดยการทำสมาธิ หลับ ตาลงช้าๆ หายใจเข้าเบาๆ ช้าๆ โดยตั้งสติอยู่ที่ปลายจมูก จาก นั้นหายใจออกช้าๆ โดยตั้งสติอยู่ที่ช่องจมูกทางขวา จากนั้นหายใจเข้าอีกครั้ง แต่ ครั้งนี้เวลาผ่อนลมหายใจออกให้ตั้งสติที่ช่องจมูกทางซ้าย ทำเช่นนี้สลับกันประมาณ 10 นาที ทุกวันรับรองว่าสมองตื้อๆ ตันๆ จะกลับมาโล่งโปร่งใสเหมือนเดิม
ที่มา : RACChachoengsao
วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555
8 เคล็ดลับ ช่วยให้หลับสบาย

ผู้เชี่ยวชาญได้ออกมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพซึ่งประกอบด้วยการรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพและความเครียด แต่อีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพคือการนอนหลับที่ไม่เพียงพอ
การที่ร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอสามารถส่งผลร้ายต่อสุขภาพได้พอๆ กับการเลือกรับประทานอาหารแบบผิดๆหรือการที่ปล่อยให้ร่างกายเผชิญกับสภาวะซึมเศร้า เว็บไซต์ด้านสุขภาพ WebMD.com และ Mayo Clinic ได้ให้เคล็ดลับง่ายๆ สำหรับนอนหลับอย่างเต็มอิ่มดังต่อไปนี้
1. จัดสรรเวลาการนอน
พยายามจัดสรรเวลาการนอนให้เป็นเวลา และพยายามเข้านอนตามเวลานั้นๆ อย่างสม่ำเสมอ
2. รับประทานอาหารอย่างถูกต้อง
นอกจากการหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนแล้ว ก็ไม่ควรนอนในขณะที่กำลังหิวหรืออิ่มเกินไป และไม่ควรนอนทันทีหลังจากที่ดื่มน้ำหรือรับประทานของเหลว เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกหิว ให้รับประทานผลไม้ เช่น กล้วย ที่อุดมไปด้วยโปแทสเซียมและได้รับการวิจัยมาแล้วว่าสามารถช่วยให้นอนหลับสบายหลังจากรับประทาน
3. ใช้อุปกรณ์เสริม
การใช้ที่ปิดตา ที่อุดหู และการเปิดดนตรีเบาๆ จะช่วยให้การนอนหลับของคุณดีขึ้น อยู่ห่างจากเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด รวมไปถึงแล็บท็อป หรืออุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ต่างๆ ที่สามารถรบกวนคุณได้ในระหว่างการนอนหลับ ปิดไฟในห้องนอนเพื่อสร้างบรรยากาศที่สงบให้กับตัวคุณเอง
4. หาวิธีกล่อมตัวเอง
พยายามหาวิธีที่จะช่วยทำให้คุณรู้สึกสบายตัวและผ่อนคลายสมองเพื่อที่จะพร้อมในการนอน ไม่ว่าจะเป็นการอาบน้ำอุ่น อ่านหนังสือ ไปจนกระทั่งการฟังเพลง
5. ออกกำลังกาย
ผู้เชี่ยวชาญค้นพบว่า การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยทำให้คุณหลับสบายมากขึ้น
การที่ร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอสามารถส่งผลร้ายต่อสุขภาพได้พอๆ กับการเลือกรับประทานอาหารแบบผิดๆหรือการที่ปล่อยให้ร่างกายเผชิญกับสภาวะซึมเศร้า เว็บไซต์ด้านสุขภาพ WebMD.com และ Mayo Clinic ได้ให้เคล็ดลับง่ายๆ สำหรับนอนหลับอย่างเต็มอิ่มดังต่อไปนี้
1. จัดสรรเวลาการนอน
พยายามจัดสรรเวลาการนอนให้เป็นเวลา และพยายามเข้านอนตามเวลานั้นๆ อย่างสม่ำเสมอ
2. รับประทานอาหารอย่างถูกต้อง
นอกจากการหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนแล้ว ก็ไม่ควรนอนในขณะที่กำลังหิวหรืออิ่มเกินไป และไม่ควรนอนทันทีหลังจากที่ดื่มน้ำหรือรับประทานของเหลว เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกหิว ให้รับประทานผลไม้ เช่น กล้วย ที่อุดมไปด้วยโปแทสเซียมและได้รับการวิจัยมาแล้วว่าสามารถช่วยให้นอนหลับสบายหลังจากรับประทาน
3. ใช้อุปกรณ์เสริม
การใช้ที่ปิดตา ที่อุดหู และการเปิดดนตรีเบาๆ จะช่วยให้การนอนหลับของคุณดีขึ้น อยู่ห่างจากเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด รวมไปถึงแล็บท็อป หรืออุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ต่างๆ ที่สามารถรบกวนคุณได้ในระหว่างการนอนหลับ ปิดไฟในห้องนอนเพื่อสร้างบรรยากาศที่สงบให้กับตัวคุณเอง
4. หาวิธีกล่อมตัวเอง
พยายามหาวิธีที่จะช่วยทำให้คุณรู้สึกสบายตัวและผ่อนคลายสมองเพื่อที่จะพร้อมในการนอน ไม่ว่าจะเป็นการอาบน้ำอุ่น อ่านหนังสือ ไปจนกระทั่งการฟังเพลง
5. ออกกำลังกาย
ผู้เชี่ยวชาญค้นพบว่า การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยทำให้คุณหลับสบายมากขึ้น
6. ทำสมาธิ
การฝึกกำหนดลมหายใจ นั่งสมาธิ การเล่นโยคะ และการรำไท่เก็ก ช่วยให้ร่างกายของคุณผ่อนคลายและหลับสบายมากขึ้น
7. ทำใจให้สงบ
หากมีอะไรรบกวนจิตใจก่อนเข้านอน ให้ระบายสิ่งที่กวนใจนั้นด้วยการเขียนลงบนกระดาษ หรือว่าระบายให้คนรัก เพื่อน คนใกล้ตัว หรือจิตแพทย์ฟัง
8. ขอปรึกษาจากแพทย์
หลายๆ คนอาจมองว่าการนอนไม่พอมีปัจจัยมาจากความเครียด แต่ที่จริงแล้วการที่ร่างกายได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอนั้นอาจส่งผลกับร่างกายในด้านอื่นๆ ได้อีก ถ้ามีปัญหาในเรื่องของการนอนหลับควรรับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
การฝึกกำหนดลมหายใจ นั่งสมาธิ การเล่นโยคะ และการรำไท่เก็ก ช่วยให้ร่างกายของคุณผ่อนคลายและหลับสบายมากขึ้น
7. ทำใจให้สงบ
หากมีอะไรรบกวนจิตใจก่อนเข้านอน ให้ระบายสิ่งที่กวนใจนั้นด้วยการเขียนลงบนกระดาษ หรือว่าระบายให้คนรัก เพื่อน คนใกล้ตัว หรือจิตแพทย์ฟัง
8. ขอปรึกษาจากแพทย์
หลายๆ คนอาจมองว่าการนอนไม่พอมีปัจจัยมาจากความเครียด แต่ที่จริงแล้วการที่ร่างกายได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอนั้นอาจส่งผลกับร่างกายในด้านอื่นๆ ได้อีก ถ้ามีปัญหาในเรื่องของการนอนหลับควรรับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
นำมาจาก เว็บสนุกดอทคอม
วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555
เผย 10 จุดเจ็บปวดตามร่างกาย มีที่มา
อาการเจ็บปวดเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ มักสร้างความกังวลเพราะนอกจากจะไม่รู้ที่มาแล้ว เรายังไม่อาจเห็นสภาพภายในได้ เรื่องนี้ นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ มีข้อมูลมาไขข้อข้องใจโดยเฉพาะอาการปวด 10 จุด ต่อไปนี้
'เจ็บต้นคอร้าวแขน' เจ็บนี้ต้องระวังเส้นประสาทต้นคออาจถูกกดหรือบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ยกของหนักที่ผ่านมาได้ 'เจ็บแขนร้าวปลายมือ' ดูเรื่องเส้นประสาทให้ดีมีสิทธิ์เกิดจากพังผืดไปรัดเส้นประสาทหรือเกิดมาจากศูนย์รวมประสาทที่ต้นคอก็ยังได้
'ปวดศีรษะร้าวต้นคอ' อาจเป็นเพียงกล้ามเนื้อที่เกร็งตึงเวลามีความเครียดธรรมดา แต่ถ้ามีตาพร่าบวกคลื่นไส้อาเจียนด้วยก็ต้องจับตาอาการด้านสมอง
'ปวดหลังร้าวลงขา' น่าจะเกิดจากหมอนรองกระดูกกดเส้นประสาทเป็นหลัก โดยเฉพาะหลังส่วนบั้นเอวเป็นจุดอ่อนที่สำคัญ การดูว่าปวดหลังถึงขั้นไหนให้ดูอาการร้าวลงขา
'เจ็บอกวิ่งไปแขนซ้าย' ร้ายเสียยิ่งกว่าอกหักเพราะมักเกี่ยวถึงโรคหัวใจขาดเลือด ให้สังเกตอาการปวดว่าเหมือนถูกบีบหรือถูกงูเหลือมตัวใหญ่รัดด้วยหรือไม่ 'ไอแล้วปวดร้าวลงก้นกบ' บางคนเวลาไอหรือเบ่งท้องแรงๆ แล้วมีอาการเจ็บร้าวไปหลังหรือก้นกบเบื้องล่างทุกครั้ง ต้องเฝ้าระวังโรคหมอนรองกระดูกทับเส้น
'เจ็บท้องน้อยร้าวลงหน้าขา' ในสตรีต้องระวังเรื่องอุ้งเชิงกรานอักเสบ ส่วนในหนุ่มๆ ให้ระวังนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ถ้ามีไข้ร่วมด้วยให้ช่วยระวังการติดเชื้อเป็นหลัก
'เจ็บท้องส่วนอื่นๆ แล้วร้าวทะลุหลัง' อาการเจ็บหน้าไปหลังเช่นนี้ถ้าเป็นที่ตับ คือ ด้านบนขวาให้นึกถึงถุงน้ำดีที่อาจไม่ดีสมชื่อ เพราะนี่เป็นสัญญาณนิ่วในถุงน้ำดีหรือถุงน้ำดีอักเสบ ส่วนถ้าเจ็บตรงกลางร่วมกับไข้สูงให้นึกถึงตับอ่อนอักเสบ (Acute pancreatitis) แบบเฉียบพลัน
'เจ็บบั้นเอวแถวสีข้างร้าวลงขา' ยิ่งถ้าเจ็บบั้นเอวด้านใดด้านหนึ่งแล้วร้าวด้วย ให้นึกถึงก้อนนิ่วในกรวยไตหรือท่อไต ในบางรายอาจมีท่อปัสสาวะอักเสบร่วมกับมีไข้ รู้สึกหนาวและปัสสาวะปนเลือดอีก หากเป็นเช่นนี้แนะให้ช่วยรีบไปตรวจปัสสาวะ เอ็กซเรย์หรืออัลตร้าซาวน์
และสุดท้าย 'เจ็บตามผื่นแล้วร้าวลงเส้นประสาท' การที่มีผื่นเป็นตุ่มน้ำใสแล้วมีอาการแสบร้อนหรือเคยมีประวัติโรคเริม งูสวัด ให้ระวังอาการปวดร้าวไปตามปลายประสาท แม้ไม่มีผื่นแล้วก็อาจทิ้งอาการแสบร้อนไว้ได้ บางรายเจ็บแสบอยู่ตามแนวเส้นประสาทเป็นครั้งคราว
คุณหมอกฤษดา ย้ำว่า สัญญาณเจ็บร้าวทั้งสิบที่ว่ามาเป็นวิธีดูคร่าวๆ เท่านั้น แต่ก็ช่วยทำให้ได้ร่องรอยของโรคที่ซ่อนอยู่ได้ อย่างไรก็ตาม ทางที่ดีที่สุดคือ พบแพทย์แล้วตรวจหาความผิดปกติให้ทราบชัดเจนชัวร์กว่า
นำมาจาก ที่นี่ดอทคอม
วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555
กระเจี๊ยบเขียว คุณค่าที่คนไม่ค่อยรู้

กระเจี๊ยบ มีอยู่สองชนิด คือ กระเจี๊ยบแดง และ การะเจี๊ยบเขียว ที่เรารู้จักกันทั่วไป มักจะเป็น กระเจี๊ยบแดง ที่เอามาต้มเป็น น้ำกระเจี๊ยบ ที่หลายท่าน ชอบดื่ม เพราะ สดชื่น และ มีประโยชน์ นั่นเอง แต่กับ อีกหนึ่งกระเจี๊ยบ คือ กระเจี๊ยบเขียว เป็นอะไรที่ เรา ๆ ท่าน ๆ ถ้าไม่ใช่เด็กบ้านสวน หรือ เด็กต่างจังหวัด ก็คงไม่รู้หรอก ว่าหน้าตามันเป็นอย่างไร มีคุณค่า ประโยชน์อย่างไร วันนี้เลยเอามาฝากกัน
กระเจี๊ยบเขียว เป็นพืชล้มลุกมีอายุประมาณ 1 ปี เจริญเติบโตได้ดีในเขตอากาศกึ่งร้อน คือมีอุณหภูมิระหว่าง 18-35 องศาโดยประมาณ เป็นพืชที่สามารถนำมาเป็น สมุนไพร ได้ เพราะมีสรรพคุณทางยาที่ช่วยรักษาเกี่ยวกับโรคกระเพาะอาหาร
ชื่อสามัญ : Okra
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Abelmoschus esculentus Linn.
ชื่ออื่น : Lady's Finger
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Abelmoschus esculentus Linn.
ชื่ออื่น : Lady's Finger
ประเทศอินเดียเรียกว่า บินดี (Bhindi) ส่วนประเทศในแถบเมดิเตอร์เรเนียนเรียกว่า บามี (Bamies)
ส่วนของประเทศไทยนั้นแบ่งแยกเป็นภาค ได้ดังนี้
ภาคกลาง : กระเจี๊ยบ กระเจี๊ยบมอญ มะเขือทะวาย มะเขือมอญ
ภาคเหนือ : มะเขือพม่า มะเขือขื่น มะเขือมอญ มะเขือละโว้
ภาคกลาง : กระเจี๊ยบ กระเจี๊ยบมอญ มะเขือทะวาย มะเขือมอญ
ภาคเหนือ : มะเขือพม่า มะเขือขื่น มะเขือมอญ มะเขือละโว้
ถิ่นกำเนิด
กระเจี๊ยบเขียวนั้นเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดมาจากแถบ แอฟริกาตะวันตก ประเทศซูดาน
กระเจี๊ยบเขียวนั้นเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดมาจากแถบ แอฟริกาตะวันตก ประเทศซูดาน
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น : มีขนหยาบและมีความสูงประมาณ 1-2 เมตร
ใบ : ลักษณะใบเป็นใบเดี่ยว คล้ายฝ่ามือเรียงสลับกัน และมีขนหยาบ
ดอก : มีสีเหลือง ที่โคนกลีบด้านในมีสีม่วงออกแดง ออกตามซอกใบ ก้านชูเรณูรวมกันเป็นลักษณะคล้ายหลอด
ฝัก : คล้ายนิ้วมือผู้หญิง ตามฝักมีขนอ่อนๆทั่วฝัก มีสันเป็นเหลี่ยมตามยาว 5 เหลี่ยม ฝักกระเจี๊ยบมีทรงยาวสีเขียว ฝักอ่อนมีรสชาติหวานกรอบอร่อย ส่วนฝักแก่จะมีเนื้อเหนียว
ลำต้น : มีขนหยาบและมีความสูงประมาณ 1-2 เมตร
ใบ : ลักษณะใบเป็นใบเดี่ยว คล้ายฝ่ามือเรียงสลับกัน และมีขนหยาบ
ดอก : มีสีเหลือง ที่โคนกลีบด้านในมีสีม่วงออกแดง ออกตามซอกใบ ก้านชูเรณูรวมกันเป็นลักษณะคล้ายหลอด
ฝัก : คล้ายนิ้วมือผู้หญิง ตามฝักมีขนอ่อนๆทั่วฝัก มีสันเป็นเหลี่ยมตามยาว 5 เหลี่ยม ฝักกระเจี๊ยบมีทรงยาวสีเขียว ฝักอ่อนมีรสชาติหวานกรอบอร่อย ส่วนฝักแก่จะมีเนื้อเหนียว
แหล่งเพาะปลูก
ในประเทศไทยนั้นพื้นที่ที่มีการปลูกกระเจี๊ยบเขียวมาก ส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลาง มีหลายจังหวัด ได้แก่ นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี สุพรรณบุรี สมุทรสาคร พิจิตร กาญจนบุรี ราชบุรี ระยอง และนครนายก
ในประเทศไทยนั้นพื้นที่ที่มีการปลูกกระเจี๊ยบเขียวมาก ส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลาง มีหลายจังหวัด ได้แก่ นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี สุพรรณบุรี สมุทรสาคร พิจิตร กาญจนบุรี ราชบุรี ระยอง และนครนายก
สรรพคุณทางยา
กระเจี๊ยบเขียว เป็นพืชที่มีคุณสมบัติในการช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารและลำไส้ เพราะในฝักกระเจี๊ยบนั้นมีสารเมือกพวกเพ็กติน (Pectin) และกัม (Gum) ช่วยเคลือบแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ไม่ให้ลุกลาม รักษาความดันให้เป็นปกติ เป็นยาบำรุงสมอง มีสรรพคุณเป็นยาระบายและสามารถแก้โรคพยาธิตัวจี๊ดได้ด้วย แต่ต้องรับประทานติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 15 วัน
กระเจี๊ยบเขียว เป็นพืชที่มีคุณสมบัติในการช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารและลำไส้ เพราะในฝักกระเจี๊ยบนั้นมีสารเมือกพวกเพ็กติน (Pectin) และกัม (Gum) ช่วยเคลือบแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ไม่ให้ลุกลาม รักษาความดันให้เป็นปกติ เป็นยาบำรุงสมอง มีสรรพคุณเป็นยาระบายและสามารถแก้โรคพยาธิตัวจี๊ดได้ด้วย แต่ต้องรับประทานติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 15 วัน
( ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย )
คนไม่เคย รับประทาน ฝักกระเจี๊ยบเขียว อาจจะ รับประทานไม่เป็น รับประทานยากกันสักหน่อย คนสมัยก่อน ชอบเอาไป ต้ม หรือ ต้มราดกะทิสด กินกับ น้ำพริกกะปิ ปลาทู รสชาติ กรอบหวานอร่อยมาก แต่ที่หลาย ๆ คนออกจะไม่ชอบ กระเจี๊ยบเขียว เพราะ ฝักของมัน ข้างในจะมี ยางเมือก ๆ หุ้มเมล็ดอยู่ ทำให้ พิอักพิอ่วน หากคนไม่ชอบ แต่หารู้ไม่ว่า นั่นเป็นสิ่งมีประโยชน์เหลือคณานับ ของกระเจี๊ยบเขียวเลยทีเดียว
จาก ข้อมูล ของ วิสาหกิจชุมชนสนามจันทร์ ซึ่งแปรรูป กระเจี๊ยบเขียว ให้ข้อมูลว่า
รับประทานฝักกระเจี๊ยบ 10 -15 ฝัก ตอนเย็นหรือก่อนนอนสามารถ ลดอาการท้องผูก
รับประทาน 3 - 5 ฝัก ก่อนอาหาร ทุกวัน สามารถ รักษา แผลในกระเพาะอาหาร
รับประทาน 10 - 15 ฝัก ทุกวัน สามารถ บำรุงตับ
รับประทาน 5 ฝัก ก่อนอาหาร 3 มื้อ ติดต่อกันทุกวัน สามารถ กำจัด พยาธิตัวจี๊ด
รับประทาน 30 - 40 ฝัก ตอนเย็น หรือ ก่อนนอน สามารถ ดีท็อกซ์ลำไส้ อุจจาระตกค้าง
รับประทานสม่ำเสมอ เป็นเส้นใยอาหารธรรมชาติ มีแคลเซียม และ วิตามินสูง
รับประทานประจำ มี โฟเลต สูง ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง บำรุงสมอง และ พัฒนาการ ทารก
ใน ครรภ์ 40 ฝักแห้ง มีโฟเลต เทียบเท่าที่คนต้องการในหนึ่งวัน 10 ฝัก มีโฟเลต เท่ากับ 25% ของความต้องการในหนึ่งวัน
รับประทาน 3 - 5 ฝัก ก่อนอาหาร ทุกวัน สามารถ รักษา แผลในกระเพาะอาหาร
รับประทาน 10 - 15 ฝัก ทุกวัน สามารถ บำรุงตับ
รับประทาน 5 ฝัก ก่อนอาหาร 3 มื้อ ติดต่อกันทุกวัน สามารถ กำจัด พยาธิตัวจี๊ด
รับประทาน 30 - 40 ฝัก ตอนเย็น หรือ ก่อนนอน สามารถ ดีท็อกซ์ลำไส้ อุจจาระตกค้าง
รับประทานสม่ำเสมอ เป็นเส้นใยอาหารธรรมชาติ มีแคลเซียม และ วิตามินสูง
รับประทานประจำ มี โฟเลต สูง ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง บำรุงสมอง และ พัฒนาการ ทารก
ใน ครรภ์ 40 ฝักแห้ง มีโฟเลต เทียบเท่าที่คนต้องการในหนึ่งวัน 10 ฝัก มีโฟเลต เท่ากับ 25% ของความต้องการในหนึ่งวัน
เมื่อรู้แล้วว่า ฝักกระเจี๊ยบเขียว มีคุณค่า และ ประโยชน์ อเนกอนันต์ อย่างนี้แล้ว ใครหลายคนที่ชอบรับประทานอยู่แล้ว คงดีใจ แต่หากใครยังไม่เคยทาน ก็ลองดูนะครับ อาจจะติดใจแบบผมก็เป็นได้ เพราะ ผมไม่เคยทานมาก่อน พอทานแล้วก็ ติดใจล่ะครับ ชอบมาก ๆ
อ้อ...ท่านไม่ต้องไปหาก ฝักกระเจี๊ยบต้มมากินทุกวัน ๆ ก็ได้นะครับ อีกอย่าง การที่ ไส้ของฝัก เป็นเมือกอาจจะทำให้ ท่านไม่สะดวกที่จะรับประทาน เดี๋ยวนี้ เค้ามีผลิตออกมาเป็นแบบ ของขบเคี้ยว กินเล่น หรือ ที่เรียกกินติดปากว่า สแน็ก นั่นแหล่ะครับ เป็น ฝักกระเจี๊ยบกรอบ มีหลายรสชาติ ทีเดียว กินง่ายและ อร่อยด้วยครับ มีขายทั่วไปนะครับ ลองไปหากันดู
เป็นไงครับ ของพื้นบ้านกินง่าย พืชผักริมรั้ว เดี๋ยวนี้ ขึ้นชั้นเป็น ของ รับประทาน ที่มีประโยชน์มากมาย แถมถูกแปรรูปให้ ถูกปากกินง่าย ไม่ต้องไปฝืนกิน แบบว่า รู้ว่ามีประโยชน์แต่ไม่ทรมานปาก ทรมานท้อง อีกต่อไป ลองดูนะครับ ประโยชน์มากมาย กับ ฝักกระเจี๊ยบเขียว
นำมาจาก สนุกดอทคอม
น้ำมะนาวร้อนดื่มดีช่วยล้างพิษ

ปกติแล้วคนส่วนใหญ่จะชอบดื่มน้ำมะนาวเย็น แต่รู้หรือไม่ว่าการดื่มน้ำมะนาวแบบร้อนก็มีประโยชน์มากเช่นกัน เพราะการผสมน้ำมะนาวกับน้ำร้อน นอกจากจะมีปริมาณแคลอรี่ต่ำแล้ว ยังช่วยล้างพิษได้ดี โดยน้ำมะนาวร้อนจะช่วยบำรุงตับให้ผลิตน้ำดีออกมาช่วยในการย่อยอาหารให้เร็วขึ้น และยังช่วยขับของเสียที่คั่งอยู่ในท้อง ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการบวมท้องลดลงอีกด้วย เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด ควรดื่มก่อนมื้ออาหาร หรือดื่มทันทีหลังจากตื่นนอนตอนเช้า เพื่อทำให้ร่างกายสดชื่นไปในตัว
ที่มา : health&cuisine
10 นิสัยทำร้ายสมองที่ไม่ควรมองข้าม
ใครที่กำลังอยู่ในภาวะสมองตื้อคิดอะไรไม่ค่อยออก
อย่ามองว่าเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้
เพราะสาเหตุนั้นอาจมาจากการที่สมองโดนทำร้าย วันนี้มีความรู้เกี่ยวกับ 10 นิสัยที่ทำร้ายสมองมาฝากกัน
10 ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย
การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว สมองนับเป็นอวัยวะส่วนที่สำคัญของเรา อย่าลืมใส่ใจและรักษาสุขภาพสมองของตัวเองให้ดี
การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว สมองนับเป็นอวัยวะส่วนที่สำคัญของเรา อย่าลืมใส่ใจและรักษาสุขภาพสมองของตัวเองให้ดี
9 นอนคลุมโปง
เป็นเรื่องเล็กน้อยในความคิดของใครหลายคน แต่ที่จริงแล้วการนอนคลุมโปงเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
เป็นเรื่องเล็กน้อยในความคิดของใครหลายคน แต่ที่จริงแล้วการนอนคลุมโปงเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
8 เป็นคนไม่ค่อยพูด
ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง ถ้าไม่ค่อยพูดจากับคนอื่นสมองก็จะไม่ได้แสดงประสิทธิภาพเท่าที่ควร
ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง ถ้าไม่ค่อยพูดจากับคนอื่นสมองก็จะไม่ได้แสดงประสิทธิภาพเท่าที่ควร
7 ขาดการใช้ความคิด
การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิดเป็นเวลานานเป็นต้นเหตุของอาการสมองฝ่อ
การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิดเป็นเวลานานเป็นต้นเหตุของอาการสมองฝ่อ
6 มลภาวะ
สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลงเรื่อยๆ
สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลงเรื่อยๆ
5 การอดนอน
คนที่อดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้ ส่วนการนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน
คนที่อดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้ ส่วนการนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน
4 ทานของหวานมากเกินไป
มีผลมากต่อการทำร้ายสมอง เพราะการทานหวานมากเกินไปจะขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาสมอง
มีผลมากต่อการทำร้ายสมอง เพราะการทานหวานมากเกินไปจะขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาสมอง
3 การสูบบุหรี่
ผู้ที่สูบบุหรี่จะขาดความสามารถในการเลือกลำดับเรื่องราว สมองของนักสูบบุหรี่จะมีความยืดหยุ่นน้อยกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ จึงทำให้เข้าใจได้ว่า ทำไมคนที่ติดบุหรี่จึงมีปัญหากับการเลิกสูบบุหรี่
ผู้ที่สูบบุหรี่จะขาดความสามารถในการเลือกลำดับเรื่องราว สมองของนักสูบบุหรี่จะมีความยืดหยุ่นน้อยกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ จึงทำให้เข้าใจได้ว่า ทำไมคนที่ติดบุหรี่จึงมีปัญหากับการเลิกสูบบุหรี่
2 กินอาหารมากเกินไป
การกินในจำนวนที่เยอะเกินพอดี เป็นต้นเหตุทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น
การกินในจำนวนที่เยอะเกินพอดี เป็นต้นเหตุทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น
1 ไม่ทานอาหารเช้า
หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่ที่จริงแล้วการไม่ทานอาหารเช้าเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ และทำให้สมองเสื่อมได้
หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่ที่จริงแล้วการไม่ทานอาหารเช้าเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ และทำให้สมองเสื่อมได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.toptenthailand.com
วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555
15 โรค ที่มากับฝน

กระทรวงสาธารณสุขแนะนำโรค 15 ชนิดที่มักจะมากับหน้าฝน พร้อมสั่งการให้สาธารณสุขจังหวัดและโรงพยาบาล จับตาโรคดังกล่าวงระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม
กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่าโรคที่มักมาพร้อมฤดูฝนที่พบบ่อยมี 5 กลุ่ม รวม 15 โรค ได้แก่ 1.กลุ่มโรคติดต่อทางน้ำและอาหาร ที่พบบ่อย มี 5 โรค ได้แก่ โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน บิด ไทฟอยด์ อาหารเป็นพิษ และตับอักเสบ สาเหตุเกิดจากกินอาหาร ดื่มน้ำที่มีเชื้อโรคปนเปื้อน หรือกินสุกๆ ดิบๆ
2.กลุ่มโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ที่พบบ่อย 5 โรค ได้แก่ โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ คออักเสบ หลอดลมอักเสบ และโรคปอดบวม โดยเฉพาะโรคปอดบวม มีอันตรายอาจถึงชีวิตได้ อาการเริ่มจากไข้ ไอ หายใจเร็วหรือหอบเหนื่อย
3.กลุ่มโรคติดเชื้อผ่านทางบาดแผลหรือเยื่อบุผิวหนัง ที่พบบ่อยคือโรคเลปโตสไปโรซิสหรือโรคไข้ฉี่หนู อาการเด่นของโรคนี้คือ ไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะมักปวดกล้ามเนื้อบริเวณน่องและโคนขาอย่างรุนแรง และตาแดง
4.กลุ่มโรคติดต่อที่เกิดจากยุง ที่สำคัญ 3 โรค ได้แก่ ไข้เลือดออกมียุงลายเป็นพาหะนำโรค ซึ่งกว่าร้อยละ 80 เป็นยุงลายที่อยู่ในบ้าน ไข้สมองอักเสบ เจ อี (ตัวนำโรคมาจากยุงรำคาญ ซึ่งมักแพร่พันธุ์ตามแหล่งน้ำในทุ่งนา และโรคมาลาเรีย ซึ่งมียุงก้นปล่องที่อยู่ในป่าเป็นพาหะนำโรค ทั้ง 3 โรคนี้ อาการเริ่มจากมีไข้สูงปวดศีรษะมาก คลื่นไส้อาเจียน โดยเฉพาะโรคไข้สมองอักเสบ อาจทำให้พิการภายหลังได้
และ 5.กลุ่มโรคเยื่อบุตาอักเสบหรือโรคตาแดง เกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำสกปรก กระเด็นเข้าตา
นอกจากนี้ ยังมีโรคอื่นๆ ที่พบได้ในฤดูฝนทุกปี ได้แก่ โรคน้ำกัดเท้าจากเชื้อรา เกิดจากการเดินลุยน้ำสกปรกนานๆ หรือเดินลุยน้ำท่วมขังในช่วงที่มีฝนตกนัก การถูกสัตว์มีพิษกัด ต่อย เช่น งู ตะขาบ แมงป่องที่หนีน้ำท่วมมาอาศัยในบ้านเรือน และโรคอาหารเป็นพิษจากกินเห็ดพิษที่ขึ้นเองตามธรรมชาติในป่า
ทั้งนี้จากการเฝ้าระวังของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ในช่วงฤดูฝนในปี 2554 ตั้งแต่เดือนมิถุนายน -กันยายน พบผู้ป่วยจาก 15 โรคฤดูฝน 658,429 คน มากที่สุดคือโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน 397,703 คน รองลงมาคือโรคปอดบวม 63,945 คน และไข้หวัดใหญ่ 32,950 คน เสียชีวิตรวม 551 คน
และจากการเฝ้าระวังของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ในช่วงฤดูฝนในปี 2554 ตั้งแต่เดือนมิถุนายน-กันยายน พบผู้ป่วยจาก 15 โรคฤดูฝน 658,429 คน โดยโรคที่บมากที่สุดคือโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน 397,703 คน รองลงมาคือโรคปอดบวม 63,945 คน และไข้หวัดใหญ่ 32,950 คน เสียชีวิตรวม 551 คน โดยในจำนวนผู้เสียชีวิต มากที่สุดอันดับ 1 มาจากโรคปอดบวม 401 คน โรคฉี่หนู 74 คน ไข้เลือดออก 40 คน และอุจจาระร่วงเฉียบพลัน 21 คน
กระทรวงสาธารณสุข จึงสั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาลทุกแห่ง จับตาโรคต่าง ๆ เป็นพิเศษเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2555 ขอให้แพทย์ตรวจคัดกรองผู้ป่วยโดยละเอียด โดยโรคที่ต้องติดตามต่อเนื่องคือโรคไข้หวัดนก ที่ไทยไม่พบผู้ป่วยมาเป็นเวลาเกือบ 6 ปี
2.กลุ่มโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ที่พบบ่อย 5 โรค ได้แก่ โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ คออักเสบ หลอดลมอักเสบ และโรคปอดบวม โดยเฉพาะโรคปอดบวม มีอันตรายอาจถึงชีวิตได้ อาการเริ่มจากไข้ ไอ หายใจเร็วหรือหอบเหนื่อย
3.กลุ่มโรคติดเชื้อผ่านทางบาดแผลหรือเยื่อบุผิวหนัง ที่พบบ่อยคือโรคเลปโตสไปโรซิสหรือโรคไข้ฉี่หนู อาการเด่นของโรคนี้คือ ไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะมักปวดกล้ามเนื้อบริเวณน่องและโคนขาอย่างรุนแรง และตาแดง
4.กลุ่มโรคติดต่อที่เกิดจากยุง ที่สำคัญ 3 โรค ได้แก่ ไข้เลือดออกมียุงลายเป็นพาหะนำโรค ซึ่งกว่าร้อยละ 80 เป็นยุงลายที่อยู่ในบ้าน ไข้สมองอักเสบ เจ อี (ตัวนำโรคมาจากยุงรำคาญ ซึ่งมักแพร่พันธุ์ตามแหล่งน้ำในทุ่งนา และโรคมาลาเรีย ซึ่งมียุงก้นปล่องที่อยู่ในป่าเป็นพาหะนำโรค ทั้ง 3 โรคนี้ อาการเริ่มจากมีไข้สูงปวดศีรษะมาก คลื่นไส้อาเจียน โดยเฉพาะโรคไข้สมองอักเสบ อาจทำให้พิการภายหลังได้
และ 5.กลุ่มโรคเยื่อบุตาอักเสบหรือโรคตาแดง เกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำสกปรก กระเด็นเข้าตา
นอกจากนี้ ยังมีโรคอื่นๆ ที่พบได้ในฤดูฝนทุกปี ได้แก่ โรคน้ำกัดเท้าจากเชื้อรา เกิดจากการเดินลุยน้ำสกปรกนานๆ หรือเดินลุยน้ำท่วมขังในช่วงที่มีฝนตกนัก การถูกสัตว์มีพิษกัด ต่อย เช่น งู ตะขาบ แมงป่องที่หนีน้ำท่วมมาอาศัยในบ้านเรือน และโรคอาหารเป็นพิษจากกินเห็ดพิษที่ขึ้นเองตามธรรมชาติในป่า
ทั้งนี้จากการเฝ้าระวังของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ในช่วงฤดูฝนในปี 2554 ตั้งแต่เดือนมิถุนายน -กันยายน พบผู้ป่วยจาก 15 โรคฤดูฝน 658,429 คน มากที่สุดคือโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน 397,703 คน รองลงมาคือโรคปอดบวม 63,945 คน และไข้หวัดใหญ่ 32,950 คน เสียชีวิตรวม 551 คน
และจากการเฝ้าระวังของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ในช่วงฤดูฝนในปี 2554 ตั้งแต่เดือนมิถุนายน-กันยายน พบผู้ป่วยจาก 15 โรคฤดูฝน 658,429 คน โดยโรคที่บมากที่สุดคือโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน 397,703 คน รองลงมาคือโรคปอดบวม 63,945 คน และไข้หวัดใหญ่ 32,950 คน เสียชีวิตรวม 551 คน โดยในจำนวนผู้เสียชีวิต มากที่สุดอันดับ 1 มาจากโรคปอดบวม 401 คน โรคฉี่หนู 74 คน ไข้เลือดออก 40 คน และอุจจาระร่วงเฉียบพลัน 21 คน
กระทรวงสาธารณสุข จึงสั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาลทุกแห่ง จับตาโรคต่าง ๆ เป็นพิเศษเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2555 ขอให้แพทย์ตรวจคัดกรองผู้ป่วยโดยละเอียด โดยโรคที่ต้องติดตามต่อเนื่องคือโรคไข้หวัดนก ที่ไทยไม่พบผู้ป่วยมาเป็นเวลาเกือบ 6 ปี
วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2555
7 อาหารบำรุงสมอง

สมองมีหน้าที่ควบคุมและสั่งการการเคลื่อนไหว พฤติกรรม และรักษาสมดุลภายในร่างกาย หน้าที่ของสมองยังมีเกี่ยวข้องกับการรับรู้ อารมณ์ ความจำ การเรียนรู้การเคลื่อนไหว และความสามารถอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ ดังนั้นน้องๆ ควรจะกินอาหารที่มีประโยชน์เพิ่มเสริมสร้างให้สมองของเราพร้อมเปิดรับสิ่งต่างๆ วันนี้พี่แก๊ปป้ามี 7 อาหารที่จะช่วยบำรุงสมองของน้องๆ บำรุงไว้ก่อนสอบ อิอิ

1. ถั่ว มีทั้งโปรตีน ใยอาหาร และไขมันที่มีประโยชน์ นอกจากนี้ ยังมีวิตามินอีซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของสมอง

2. ไข่ อุดมไปด้วยโปรตีน โดย 1 ฟองจะมีโปรตีนคุณภาพดี 6 กรัม และกรดอะมิโนสำคัญอีก 9 ชนิด อีกทั้งยังมีไขมันซึ่งให้พลังงานแก่สมองได้นานหลายชั่วโมง ซีลีเนียมในไข่ออร์แกนิกก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า จะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้

3. สาหร่ายทะเล สาหร่ายทะเล มีไอโอดีนและโอเมก้า 3 สูงจัดว่าเป็นอาหารบำรุงสมองอย่างหนึ่ง ที่สำคัญและยังช่วยให้เส้นผมดกดำได้อีกด้วย

4. มะเขือเทศ ในมะเขือเทศ มันจะมีไลโคพีน ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ สามารถช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายของอนุมูลอิสระที่เราสามารถพบในอาการ ของโรควิกลจริต และอัลไซเมอร์

5. นมถั่วเหลือง มีวิตามินบี 6 ที่ช่วยการทำงานของสมอง สร้างระบบภูมิต้านทานของร่างกาย อีกทั้งยังมีวิตามินอี และกรดไขมันจำเป็นอื่น ๆ ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใส มีธาตุเหล็ก ที่เสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง รวมทั้ง เลซิธิน (Lecithin) สารประกอบของฟอสฟอรัสกับไขมัน ที่ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดแข็งตัว โรคหัวใจ และช่วยบำรุงสมองด้วย

6. กล้วย มีส่วนประกอบของวิตามิน B6 ที่ช่วยในการทำงานของสมองทั้งยังรักษาระดับน้ำตาลในเลือดของคุณให้คงที่ ซึ่งมีผลไปถึงอารมณ์ของคุณด้วย จากการวิจัยพบว่ากล้วยซึ่งอุดมไปด้วยโปแตสเซียมนี้ช่วยให้นักเรียนรู้สึกตื่นตัวมากขึ้นทำให้เรียนได้ดีขึ้นในที่สุด

7. สตรอเบอร์รี ผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเป็นอาหารสมอง เส้นเลือด และหัวใจ ไม่ว่าเด็กๆ ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงวัยก็กินได้ เพราะสตรอเบอร์รี่มีสารอาหารหลากหลาย มีวิตามินซีเป็น 10 เท่าของแตงโม แอปเปิล และองุ่น และมีส่วนช่วยลดโอกาสการเป็นโรคมะเร็งด้วย
นำมาจาก สนุกดอทคอม
วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2555
ยาดม...มีอันตรายหรือไม่
| |
|
น้ำกำหนดระดับความเผ็ดของพริก

นักวิทยาศาสตร์เปิดเผยผลการวิจัยว่า สาเหตุที่พริกแต่ละต้นเผ็ดไม่เท่ากันนั้นมีความเกี่ยวข้องกับปริมาณน้ำในบริเวณที่ปลูก
ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอินเดียน่า นำโดยนายเดวิด แฮค เดินทางไปประเทศโบลิเวียเพื่อตรวจสอบปริมาณของสารแคปไซซินซึ่งเป็นสารที่ให้ ความเผ็ดในพริกที่ต้นพริกปล่อยออกมาป้องกันเชื้อราฟูซาเรียมซึ่งเจริญเติบโต ได้ดีในที่ชื้น โดยทีมนักวิจัยมีเป้าหมายในการค้นหาสาเหตุว่าทำไมพริกแต่ละต้นถึงให้ความ เผ็ดไม่เท่ากัน
การศึกษาจากต้นพริกที่ปลูกเป็นแนวยาว 300 กิโลเมตร พบว่าพริกที่ปลูกอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีอากาศ แห้งกว่า มีเพียง 15-20 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นที่ผลพริกมีรสชาติเผ็ดร้อน ในขณะเดียวกันปริมาณผลพริกที่เผ็ดจะเพิ่มมากขึ้นในแถบตะวันตกเฉียงใต้ที่มี สภาพอากาศชื้นกว่า โดยต้นพริกทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ ออกผลเป็นพริกที่มีปริมาณแคปไซซินสูงทั้งสิ้น
ต้นพริกที่เผ็ดกว่าจึงเป็นต้นพริกที่สามารถผลิตแคปไซซินออกมาป้องกันเชื้อรา ได้มาก และมีเมล็ดน้อยกว่า ในขณะที่พริกที่เผ็ดน้อยจะต้องผลิตเมล็ดออกมาจำนวนมากเพื่อเพิ่มโอกาสในการ ขยายพันธุ์ในสภาพอากาศที่แห้ง
Source: AFP Relax News
ความเสี่ยง เมื่อนอนไม่ถึงวันละ 6 ชม.
ผลวิจัยพบว่า คนที่นอนหลับน้อยกว่าวันละ 6 ชั่วโมง เสี่ยงเป็นโรคเส้นเลือดสมองตีบแม้มีสุขภาพดีก็ตาม
นักวิจัยบอกว่า คน ในวัยกลางคนซึ่งนอนน้อยมีโอกาศเสี่ยงมากขึ้น ที่จะมีอาการของเส้นเลือดสมองตีบ เมื่อเทียบกับคนที่นอนอย่างน้อย 9 ชั่วโมง ถึงจะมีน้ำหนักตัวเหมาะสมและครอบครัวไม่มีประวัติเป็นโรคนี้
ผู้วิจัยของมหาวิทยาลัยแอละแบมา ได้ติดตามภาวะสุขภาพของผู้ร่วมโครงการกว่า 5,000 คน ซึ่งมีอายุระหว่าง 45 ปีจนถึงวัยเกษียณ เป็นเวลา 3 ปี
คนที่นอนไม่ถึงวันละ 6 ชั่วโมงมีแนวโน้มจะมีอาการหลายอย่าง เช่น ชา, ซีกหนึ่งของร่างกายอ่อนแรง, วิงเวียน, หน้ามืด หรือจู่ๆ ก็ไม่สามารถพูดหรือเขียนได้
ผู้เข้าร่วมได้ถูกแบ่งเป็น 5 กลุ่มตามจำนวนชั่วโมงของการนอนหลับ คนเหล่านี้ได้รายงานอาการของตนเองทุกๆ 6 เดือน
เวอร์จิเนีย โฮเวิร์ด ศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยา บอกว่า ผู้คนจำนวนมากมีอาการเหล่านี้ แต่ไม่รู้ว่านั่นเป็นอาการเริ่มต้นของเส้นเลือดสมองตีบ เวลาไปหาหมอก็ไม่ได้บอก
"อุปนิสัยในการนอนจะยิ่งทำให้อาการเหล่านี้แย่ลง ซึ่งจะนำไปสู่โรคเส้นเลือดสมองตีบ"
งานวิจัยของมหาวิทยาลัยวอริกในอังกฤษเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งศึกษาคนไข้นับแสนคน ระบุว่า การอดนอนมีความเชื่อมโยงกับโรคเส้นเลือดสมองตีบและโรคหัวใจ แต่งานวิจัยชิ้นนี้เน้นที่อาการเริ่มแรกของเส้นเลือดสมองตีบ ซึ่งมักถูกมองข้ามไป
ทีมวิจัยของศาสตราจารย์โฮเวิร์ด มีแผนจะติดตามภาวะสุขภาพของผู้เข้าร่วมเหล่านี้ต่อไปอีกหลายปี เพื่อดูอัตราการเกิดโรคนี้ และดูว่าการตรวจพบอาการแต่เนิ่นๆ จะเป็นประโยชน์หรือไม่
หัวหน้าทีมวิจัย ดร.เมแกน ริตเตอร์ จะนำเสนอผลการวิจัยนี้ต่อที่ ประชุมสมาคมการแพทย์เกี่ยวกับการนอนอเมริกันต่อไป ทั้งนี้ ดร.แคลร์ วอลตัน แห่งสมาคมโรคเส้นเลือดสมองในอังกฤษ บอกว่า ผล วิจัยก่อนหน้านี้หลายชิ้นระบุว่า การนอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงเป็นประจำ หรือนอนเกิน 9 ชั่วโมง เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดสมองตีบ แต่ทั้งหมดนี้ต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม.
นำมาจาก ที่นี่ดอทคอม
นำมาจาก ที่นี่ดอทคอม
‘กระเทียม‘ กลิ่นฉุน...แต่อุดมคุณประโยชน์

นำมาจาก สนุกดอทคอม
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)