วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

ขิง สุดยอดสมุนไพรในตำนาน




ขิง เป็นสมุนไพรที่มีมาตั้งแต่สมัยอดีตกาลนานมาแล้ว

     โดยปรากฏอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอ่านและผลงานเขียนของขงจื๊อ (เมื่อกว่า 3000 ปีมาแล้ว) และขิงก็มีอยู่ในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยมายาวนาน
      ผลการวิจัยล่าสุดพบว่าผู้หญิงที่มีอายุในช่วง 50-60 ปีที่รับประทานขิงเป็นประจำมีประสิทธิภาพของสมองดีขึ้น "ขิง มีส่วนช่วยให้ neuroprotective function ดีขึ้น" Kathleen McFarlane ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพของออสเตรเลียกล่าว "นั่นก็หมายความว่าขิงมีส่วนช่วยในการลดโอกาสการเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้เช่นกัน"
      นอกจากนี้การใส่ขิงป่น 100 กรัมลงไปในสลัดหรือผัดผักที่ท่านรับประทานเป็นประจำ ก็เป็นการเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับอาหารได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย นอกจากจะช่วยบำรุงสมองแล้ว ขิงยังมีฤทธิ์เป็นยาแก้ปวดได้อีกด้วย ขิงมีประสิทธิภาพในการยับยั้งอาการอักเสบของข้อต่อและกล้ามเนื้อ เปรียบเสมือนยาบรรเทาปวด (Analgesic) "สำหรับการบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ, การรับประทานอาหารที่ประกอบด้วยขิงในส่วนผสมควบคู่กับการรับประทานยาปฏิชีวนะ ช่วยให้อาการปวดกล้ามเนื้อหายได้ไวขึ้น" Pam Stone ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจากประเทศออสเตรเลียกล่าว

     สำหรับประโยชน์ของน้ำขิงก็สามารถช่วยบรรเทาอาการของโรคภูมิแพ้ได้เช่นกัน

     การดื่มน้ำขิงอุ่นๆ สามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ อาการคัดจมูกและบรรเทาอาการหวัดได้ การใส่น้ำมะนาว แล้วน้ำผึ้งผสมกับชาขิงร้อนๆก็มีสรรพคุณเป็นยาที่ดีมากมาย รวมไปถึงอาการปวดท้องจากอาการลำไส้แปรปรวน (IBSท้องอืดท้องเฟ้อ "การดื่มน้ำขิงอุ่นๆทุกเช้าสามารถช่วยให้ลำไส้ของท่านทำงานได้ดีมากขึ้น"  McFarlane กล่าว และการวิจัยของประเทศออสเตรเลียก็ค้นพบอีกว่าขิงช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และอาจช่วยต่อต้านโรคเบาหวานได้

    ขิง ช่วยให้อินซูลินทำงานได้ดีขึ้น รวมไปถึงการทำงานของช่องท้องและลำไส้ซึ่งมีความสัมพันธ์กับความดันโลหิตและ หัวใจของเรา และอวัยวะเหล่านี้ก็จะทำงานดีขึ้นหากได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์จากขิง

    ขิงช่วยป้องกันไม่ให้ bad cholesterol LDL แข็งเป็นแผ่น ซึ่ง bad cholesterol นี้จะส่งผลเสียกับระบบโลหิตภายในร่างกายและเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ

    "การรับประทานอาหาร หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมจากขิงเป็นประจำ สามารถช่วยบำรุงร่างกายของท่านได้ดีเยี่ยม แต่อย่างไรก็ตามก็ควรอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมกับร่างกาย และควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่เป็นดีที่สุด" McFarlane กล่าวทิ้งท้าย


      ที่มา : 108health.com

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

25 Healthy Tips อย่ามองข้ามเรื่องเล็กๆ


1. การดื่มน้ำ ปริมาณมากในเวลาอันรวดเร็วอาจก่อให้เกิดสภาวะน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง ร่างกายจึงขับโปแตสเซียมออกจากเซลล์เพื่อปรับสมดุลระหว่างน้ำในเซลล์และนอกเซลล์ ผลที่ตามมาคือเป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็ง หากเกิดอาการเกร็งที่สมอง หัวใจ หรือปอด จะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้ แต่ไม่ต้องกังวลจนเกินไปเพราะหากดื่มน้ำทีละเล็กทีละน้อย แม้ดื่มมากกว่าปกติก็ไม่เป็นอันตรายเพราะไตจะขับออกมาเป็นปัสสาวะ และถ้าเมื่อไรมีอาการจุกนั่นแสดงว่าดื่มน้ำมากไป ควรหยุดได้แล้ว
2. การปล่อยให้ตนเองหิวอาจนำไปสู่โรคร้าย เพราะ ความหิว กระตุ้นร่างกายให้หลั่งฮอร์โมนความเครียด ซึ่งหากเกิดขึ้นเป็นประจำจะทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวานได้ ลองควบคุมความหิวด้วยการแบ่งมื้ออาหารจากวันละ 3 มื้อเป็นมื้อเล็กๆ 5-6 มื้อต่อวัน
3. ชา กาแฟ รวมถึงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอาการปวดหลัง เพราะคาเฟอีนลดการหลั่งสารเอนโดรฟีนซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่ร่างกายผลิตขึ้นและมีฤทธิ์ลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ
4. วิธีง่ายๆ ในการดูแลสุขภาพ คือหลังจากตื่นนอนทุกเช้า จะดื่มน้ำส้มสายชูที่หมักจากผลแอ๊ปเปิ้ล ผสมกับน้ำผึ้งอย่างละ 1 : 1 ใส่น้ำอุ่นคนให้เข้ากันแล้วค่อยเติมน้ำแข็งลงไปเพื่อให้ทานง่ายและมีรสชาติดีขึ้น ซึ่งวิธีนี้จะไปช่วยการดูดซึมของระบบลำไส้ และการเผาผลาญของร่างกาย แต่โรคบางโรคอาจเกิดจากสุขภาพจิตที่อ่อนแอ ในหนึ่งอาทิตย์จึงควรจะมีวันพักผ่อนอย่างจริงจังหรือทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น เล่นโยคะ เพื่อฟื้นฟูสุขภาพกายและลดมลภาวะทางจิตใจไปพร้อมๆ กัน

5. การนอนดึกคืนวันศุกร์-เสาร์แล้วตื่นสายในวันเสาร์-อาทิตย์ ทำให้นาฬิกาชีวภาพของร่างกายตั้งเวลาตื่นใหม่ เมื่อถึงวันจันทร์จึงมีอาการอิดเอื้อนไม่อยากตื่น ทั้งยังทำให้ขาดสมาธิในการทำงานหรือเรียนหนังสืออีกด้วย
6. แสงแดดยามเช้า ไม่ได้ช่วยให้กระดูกแข็งแรงเท่านั้น แต่การออกกำลังกายกลางแดดใน ช่วงเวลาดังกล่าวยังช่วยให้ร่างกายผลิตสารเอนโดรฟีน ซึ่งเป็นสารต่อต้านอาการซึมเศร้าตามธรรมชาติอีกด้วย
7. ความเครียดเป็นตัวการทำลายผิวที่ร้ายแรงที่สุด ฉะนั้นเราต้องปรับความคิดใหม่ และใช้ร่างกายเราอย่างทะนุถนอมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม หาเวลาออกกำลังกายบ้าง และรับประทานอาหารดีๆ
8. แอ๊ปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวี มีประโยชน์ แต่ถ้าคุณรับประทานยาปฏิชีวนะอยู่ควรหลีกเลี่ยงผลไม้เหล่านี้เพราะบูดง่ายในลำไส้ อาจเกิดการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้
9. การไอเรื้อรังอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะที่แพทย์สั่งเพื่อรักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ ให้ใช้วิธีที่สุดแสนธรรมดาแต่ได้ผลมากกว่าคือ ดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ อมยาอมให้ลำคอชุ่มชื่นอยู่ตลอดเวลา และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แค่นี้ก็หายแล้ว
10. การที่เราคิดว่าตัวเองมีสุขภาพดี แถมอายุยังน้อย ทำให้เราชะล่าใจในการดูแลรักษาสุขภาพ เวลาเกิดอะไรผิดปกติขึ้นกับร่างกายจะคิดว่าช่างมัน เดี๋ยวคงหายเอง ซึ่งไม่ถูกต้อง

 
11. เมื่อมีอาการเท้าและข้อเท้าบวม ให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาที แล้วขยับข้อเท้าไปข้าง หน้าและข้างหลัง เพื่อช่วยให้โลหิตไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงที่ขนทำจากวัสดุธรรมชาติ แปรงผิวหนังเบาๆ เริ่มบริเวณฝ่าเท้าซึ่งเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย แล้วค่อยๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวาน เพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) จากนั้นอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น
12. ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน และรับประทานไข่มากกว่าอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เสี่ยงเป็นโรคหัวใจมากขึ้น
13. ผู้ที่รับประทานไข่ เป็นเวลา 8 อาทิตย์ ลดน้ำหนักได้มากกว่าผู้ที่ไม่รับประทานถึง 65 เปอร์เซ็นต์ และรอบเอวลดลงเกือบสองเท่า เพราะผู้ที่รับประทานไข่รู้สึกอิ่มกว่าการรับประทานขนมปัง ทำให้รับประทานอาหารกลางวันและอาหารเย็นน้อยลง
14. การรับประทานอาหารไปดูหนังไป ทำให้รับประทานอาหารมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าจะกินอิ่มมาแล้วหรือรสชาติของอาหารไม่ได้เรื่องเลยก็ตาม นอกจากนี้ไฟสลัวๆ ทำให้ผู้ที่รับประทานอาหารไม่ค่อยระวังตัว เพลิดเพลินเจริญอาหารไปเรื่อย
15. เสียงเพลง มีอิทธิพลต่ออารมณ์ของคนเรายิ่งดนตรีมีจังหวะเร็วเท่าไรก็ยิ่งกระตุ้นให้รับประทานอาหารมากขึ้นเท่านั้น
16. การดื่มน้ำ (เปล่า)เย็น 50 ออนซ์ (8 ออนซ์= 1 ถ้วย) จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี เท่ากับช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 5 ปอนด์หรือ 2.5 กิโลกรัม เพราะการดื่มน้ำเปล่าไม่ทำให้ร่างกายได้รับพลังงาน แต่ต้องใช้พลังงานในการเผาผลาญน้ำ ยิ่งไปกว่านั้นน้ำเย็นทำให้ร่างกายต้องใช้พลังงานเผาผลาญมากขึ้นอีก
17. การออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนักและพิลาทิส ควบคู่กันไป จะช่วยพัฒนาความแข็งแรงของปอดและหัวใจ รวมถึงความแข็งแรงและยืดหยุ่นของโครงสร้าง และการรับประทานอาหารมื้อย่อยๆ 5 มื้อต่อวัน โดยมื้อกลางวันจะเน้นอาหารประเภทโปรตีนเพียง 1 มื้อ นอกนั้นเน้นผักและผลไม้ จะทำให้มีพลังงานที่พอเหมาะในการใช้งาน และไม่ทิ้งไขมันส่วนเกินสะสม
18. ผู้ชายที่รับประทานมะเขือเทศ ซึ่งมีไลโคปีนสูงอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้น เสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ วิธีง่ายๆ ให้นำมะเขือเทศไปปั่นให้ละเอียดเติมน้ำมันมะกอกและนำไปปรุงสุก ความร้อนจะช่วยให้มะเขือเทศปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น
19. รับประทานแอ๊ปเปิ้ลหนึ่งชิ้นหลังอาหาร ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลาย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญใน การลดแบคทีเรียในช่องปากและช่วยให้เหงือกแข็งแรง การรับประทานสับปะรดและมะละกอคือก่อนอาหารประมาณ 2-3 ชิ้น ดีต่อกระเพาะอาหารเพราะมีเอนไซน์ซึ่งช่วยย่อย จึงเท่ากับช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่ตามลงมาได้ง่ายขึ้น
20. หากไม่อยากมีกรดในกระเพาะมากเกินไป ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่างเช่นมะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุ๊ต หรือน้ำมะเขือเทศสดปั่น หรือทำให้เจือจางด้วยการผสมน้ำเข้าไป

 
21. สำหรับหนุ่มเจ้าสำราญ ที่ชอบปาร์ตี้หามรุ่งหามค่ำ ก็สามารถฟื้นฟูร่างกายได้ด้วยการนอนหลับให้นานหน่อย อีกวิธีหนึ่งในการดูแลตัวเองคือมีแฟนเด็ก จะได้มีแรงกระตุ้นให้เราทำตัวเด็กตาม ต้องดูดีตลอดเวลา เพราะฉะนั้นอบายมุข การเที่ยวกลางคืนก็เป็นอันต้องงด
22. การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะเกมที่ต้องใช้สมาธิ ช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันโรคอัลเซเมอร์ได้ เกมอื่นๆ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ หรือเลือกเรียนดนตรี ก็ช่วยได้เช่นกัน
23. การใช้พลาสติกใส่อาหารหรือปิดอาหาร รวมถึงใส่จานชามพลาสติกในไมโครเวฟ เพราะความร้อนจะทำให้พลาสติกปนเปื้อนในอาหาร เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม
24. ก่อนตั้งครรภ์ ควรเตรียมตัวล่วงหน้าประมาณ 3 เดือน 1.ดูแลเรื่องอาหารการกิน เน้นโฟเลต แคลเซียม วิตามินต่างๆ ป้องกันอาการแพ้ท้องหรืออยากอาหารประหลาดๆ 2.ร ะวังเรื่องการรับประทานยาทุกชนิด อ่านฉลากให้ดี เพราะอาจทำร้ายลูกโดยไม่เจตนา 3. ทำใจให้สบาย คิดในแง่บวก 4. ออกกำลังกายที่เหมาะสม
25. ถ้ามื้อนั้นรับประทานเนื้อสัตว์ในปริมาณมาก ไม่ควรรับประทานผลไม้อีก เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ทำให้ผลไม้ที่ย่อยเสร็จไปเรียบร้อยแล้วถูกกักอยู่ในกระเพาะ เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

10 อันดับ เมืองเก่าแก่ที่สวยที่สุดในโลก




อันดับที่ 10 Delhi
3,000 years


อันดับที่ 9 Rome
753 BCE


อันดับที่ 8 Xi’an
3,100 years


อันดับที่ 7 Lisbon
3,200 years


อันดับที่ 6 Athens
3,500 years


อันดับที่ 5 Tel Aviv
4,000 years


อันดับที่ 4 Jerusalem
6,000 years


อันดับที่ 3 Beirut
5,000 years


อันดับที่ 2 Plovdiv
since 6,000


อันดับที่ 1 Damascus
12,000 years

นำมาจาก www.dek-d.com

วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

นำขวดพลาสติก มาใส่น้ำดื่มอีกครั้ง เป็นอันตรายจริงหรือ




หลายคนอาจเคยได้ยินได้ฟังข่าวเกี่ยวกับการนำขวดพลาสติกใส่บรรจุน้ำดื่ม หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ขวด PET นั้นว่า หากเรานำกลับมาใช้ซ้ำเพื่อใส่น้ำดื่ม หรือทิ้งขวดตากแดดไว้นานๆ สาร DEHA (diethyl hydroxylamine) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่ผสมอยู่ในเนื้อขวดพลาสติกนั้น สามารถออกมาปนเปื้อนกับน้ำในขวดได้จนทำให้ใครต่อใคร ไม่แน่ใจในความปลอดภัยและพากันใช้แล้วทิ้งขวดน้ำเหล่านั้นไปอย่างน่าเสียดาย
ขวด PET ที่เราใช้กันมากมายทุกวันนี้ ทำจาก พลาสติกโพลีเอทีลีนเทอเรพทาเลท (Polyethylene Terephthalate) หรือ PET ซึ่งเป็นพลาสติกมีความโปร่งใส แข็งแรงทนทาน เหนียว ไม่แตกง่าย สามารถป้องกันการซึมผ่านของก๊าซ (Gas) ได้ดี และทนต่ออุณหภูมิได้ไม่เกิน 70 ถึง 100 องศาเซลเซียส ปัจจุบัน เรามักนำไปใช้เป็นขวดบรรจุน้ำอัดลม น้ำดื่ม น้ำมัน น้ำมันพืช น้ำปลา น้ำยาบ้วนปาก กล่องขนม ฯลฯ เนื่องจากมีความใสที่ใกล้เคียงกับขวดแก้วแต่มีน้ำหนักเบาและมีราคาที่ถูกกว่าแก้ว พลาสติกชนิดนี้จึงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง
วันนี้หลายสถาบันได้ออกประกาศยืนยันความปลอดภัยในการใช้งาน ขวด PET อาทิ สมาคมพลาสติกสหรัฐอมเริกา (The America Plastics Council) ยืนยันว่า “วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตขวด PET ไม่มีสาร DEHA เป็นสารประกอบ” ส่วนองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (The US Food and Drug Administration)และองค์กรด้านความปลอดภัยทางอาหาร (Food Safety Authority) แห่งประเทศนิวซีแลนด์ ก็ออกมายืนยันแล้วว่า “ขวด PET ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยของภาชนะบรรจุอาหาร” เช่นกัน ซึ่งสอดคล้องกับ การศึกษาของสถาบันวิทยาศาตร์ธรรมชาติแห่งสหรัฐอเมริกา (Institutional Life Sciences Institute) ที่กล่าวว่า“ระดับความเป็นไปได้ที่สารปนเปื้อนจะแพร่ออกจากขวด PET ต่ำกว่ามาตรฐานด้านความปลอดภัยที่กำหนดไว้ และปริมาณของสารปนเปื้อนก็ต่ำกว่าระดับที่จะก่อให้เกิดผลทางพิษวิทยา”
จากคำยืนยันที่กล่าวมา คงช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ผู้บริโภคอย่างเราๆ ท่านๆ ถึงความปลอดภัยในการใช้ซ้ำขวด PET กันได้มากขึ้น ซึ่งนอกจากจะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าตังค์กันได้โขแล้ว ถือว่าเรายังจะเป็นอีกแรงที่ได้ช่วยรักษาทรัพยากรและสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับโลกของเราใบนี้อีกด้วย
ที่มา : พรรณนิภา ไกรลาสนฤมิต จากข้อมูลองค์ความรู้ "สภาวิศวกร"

10 อันดับมหาวิทยาลัยที่นักศึกษามากที่สุดในโลก



อันดับ 10 มหาวิทยาลัย รามคำแหง
ประเทศไทย
จำนวน 431,500 คน




อันดับ 9 Dr. B.R. Ambedkar Open University
ประเทศอินเดีย
จำนวน ประมาณ 450,000 กว่าคน



อันดับ 8  CSU Long Beach campus building, California State University
ประเทศ สหรัฐอเมริกา
จำนวน ประมาณ 450,000 กว่าคน




อันดับ 7 SUNY Buffalo State University of New York
ประเทศ สหรัฐอเมริกา
จำนวน 464,981 คน




อันดับ 6 Kent State Ashtabula Campus, University System of Ohio

ประเทศ สหรัฐอเมริกา
จำนวน 478,376 คน




อันดับ 5 Anadolu University
ประเทศตุรกี
จำนวน 884,081คน




อันดับ 4 Bangladesh National University
ประเทศ บังคลาเทศ
จำนวน ประมาณ 1,000,000 กว่าคน



อันดับ 3 Islamic Azad University
ประเทศอิหร่าน
จำนวน ประมาณ 1,300,000 คน




อันดับ 2 Allama Iqbal Open University
ประเทศปากีสถาน
จำนวน ประมาณ 1,900,000 คน




อันดับ 1 Indira Ghandi Open University
ประเทศอินเดีย
จำนวน ประมาณ 2,000,000 กว่าคน



ลูกเดือย เม็ดเล็ก ๆ แต่คุณประโยชน์ไม่เล็ก!

ลูกเดือย เม็ดเล็ก ๆ แต่คุณประโยชน์ไม่เล็ก!

หลายคนคงรู้จักลูกเดือยที่มีหน้าตาเป็นเม็ดเล็ก ๆ กลม ๆ แต่ถึงแม้ว่าจะมีขนาดเล็ก แต่ลูกเดือยกลับให้คุณประโยชน์มากมาย               
                ไม่ว่าจะมีฤทธิ์เป็นยาเย็นช่วยบำรุงกำลัง บำรุงปอด ม้าม ตับ ขับปัสสาวะ หล่อลื่นกระเพาะอาหารและลำไส้ แก้ปัญหาทางเดินหายใจ ไขข้อกระดูก เหน็บชา แก้ร้อนในกระหายน้ำ และยังช่วยลดการเกิดมะเร็งเพราะมีสารคอกซีโนไลด์ (Coxenolide) ซึ่งมีสรรพคุณในการยับยั้งการเกิดเนื้องอก

            ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า ลูกเดือยนั้นมีคุณค่าทางอาหารสูง โดยเฉพาะฟอสฟอรัสซึ่งมีสรรพคุณช่วยบำรุงกระดูกมีอยู่ในปริมาณสูง และวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตาอีกด้วย

            ด้วยสรรพคุณที่หลากหลาย และคุณประโยชน์ที่มากมายเกินขนาดเล็ก ๆ นั้นทำให้ชาวจีนต่างยกย่องลูกเดือยว่าเป็นยาอายุวัฒนะอีกชนิดหนึ่งเลยทีเดียว!

ขอบคุณข้อมูลจาก WOMAN PLUS

วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555

มหัศจรรย์ธรรมชาติที่คุณอาจไม่เคยรู้



สวัสดีค่ะน้อง ๆ วันนี้พี่บัวลี่ได้นำเรื่องมหัศจรรย์ธรรมชาติ ที่บางเรื่องเราก็อาจมองข้ามไปหรือบางเรื่องเราก็อาจไม่เคยรู้เลย เกร็ดความรู้เล็ก ๆน้อย ๆ อาจพอเพลิน ๆ แต่ได้ความรู้นะคะ ^^ น้อง ๆ พร้อมกันหรือยังคะถ้าพร้อมแล้วไปติดตามกันเลยค่ะ
รู้หรือไม่ >>เหงือกของปลาบางประเภทไม่ได้มีไว้หายใจอย่างเดียวแต่ยังใช่ในการกินอาหารอีกด้วย เหงือกที่มีรูปร่างคล้ายหวีจะทำหน้าที่ดักเก็บอาหารชิ้นเล็กๆ
รู้หรือไม่ >>ปลาที่ถูกจัดว่าว่ายน้ำได้ช้าที่สุด คือม้าน้ำ บางประเภทพวกมันจะว่ายน้ำโดยอาศัยครีบด้านหลังซึ่งความเร็วสูงสุดได้แค่ 0.015 กิโลเมตรต่อชั่วโมงหรือ 4 มิลลิเมตรต่อวินาทีเท่านั้นเอง
รู้หรือไม่ >>ปลาดุยุโรปมีปากขนาดใหญ่พอที่จะกลืนกินเด็กอายุ2ขวบลงไปได้
รู้หรือไม่ >>ต้นกาบหอยแครงสามารถดักจับกบตัวเล็กๆได้และว่ากันต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงยักษ์กินหนูเป็นอาหาร ^^"
รู้หรือไม่ >>หญ้าเป็นพืชดอกที่แพน่พันธุ์ได้มากที่สุดบนโลก
รู้หรือไม่ >> ผักตบชวาเติบโตได้เร็วมากและสามารถเพิ่มจำนวนได้เป็น 2 เท่าโดยใช้เวลาเพียงแค่ 10 วันเท่านั้น

วันนี้นำมาฝากเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นนะคะน้องๆ ไว้คราวหน้าพี่จะนำเกร็ดความรู้ดีๆอย่างนี้มาฝากกันอีกนะคะ ^__________^

อาหาร 10 อย่างที่ควรมีไว้ในตู้เย็น


น้ำเปล่า"น้ำ" ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิต ช่วยทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเป็นไม่อย่างปกติ ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดี หัวใจทำงานปกติและมีประสิทธิภาพแข็งแรงขึ้น รวมทั้งช่วยให้การขับถ่ายของเสียทำงานได้ดี ที่สำคัญยังช่วยให้ผิวชุ่มชื่น โดยน้ำที่เหมาะแก่การดื่มคือน้ำอุณหภูมิปกติ
ผัก
"ผัก" ถือเป็นอาหารที่มีคุณค่ามาก เพราะมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการ อาทิ วิตามิน เกลือแร่ อยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ในผักยังมี "ใยพืช" (Fiber) ซึ่งช่วยกระตุ้นลำไส้ให้ทำงานดีขึ้น ทำให้ท้องไม่ผูก ป้องกันโรคริดสีดวงทวาร โรคมะเร็งลำไส้
ไข่ไก่
"ไข่ไก่" เพราะในไข่ไก่มีทั้งโปรตีนและกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย 9 ชนิด ทั้งยังมีวิตามินกับเกลือแร่อีกหลายชนิด เช่น วิตามินเอ , บี, ดี และ อี ธาตุเหล็ก , สังกะสี, ซีลีเนียม และไอโอดีน ส่วนใครที่เคยเชื่อมาผิด ๆ ว่าทานไข่แล้วจะเสี่ยงกับความอ้วนนั้น คุณเข้าใจผิด เพราะโคเลสเตอรอลในไข่แดงมีประมาณ 230 มิลลิกรัมต่อฟอง ซึ่งนับว่าปลอดภัยกว่าการกินเนย แป้ง น้ำตาล และเนื้อสัตว์ติดมันมาก
นม
"นม" ในที่นี้จะเป็นประเภทใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นนมวัว นมถั่วเหลือง หรือนมเปรี้ยว เพราะทุกประเภทล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าเราต้องอ่านฉลากข้างกล่องหรือขวดให้ดีก่อนจะซื้อมาเก็บไว้ในตู้ เย็น เพราะในนมแต่ละยี่ห้อแต่ละสูตรก็จะมีปริมาณน้ำนมและสารปรุงแต่งไม่เท่ากัน สำหรับคนที่ไม่มีปัญหาในเรื่องระบบย่อยอาหารคุณควรดื่มนมวัว เพราะในนมวัวมีแคลเซียมและโปรตีนซึ่งมีความสมบูรณ์ของกรดอะมิโนดีกว่าโปรตีน จากถั่วเหลือง
เนื้อปลา
"เนื้อปลา" เพราะโปรตีนจากเนื้อปลามีไขมันต่ำ ย่อยง่าย และมีสาอาหาร คือ กรดโอเมก้า 3 ซึ่งมีกรด DHA และกรด EPA โดย DHA จะช่วยบำรุงเซลล์สมอง เซลล์ประสาท และเรตินาในดวงตา ส่วนกรด EPA ช่วยควบคุมระดับโคเลสเตอรอล และลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในร่างกาย จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
ผลไม้รสเปรี้ยว
ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม , มะม่วง,ฝรั่ง, กีวี่ ,ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เพราะผลไม้ประเภทนี้จะมีวิตามินซีสูง (แถมยังปลอดภัยจากความอ้วนกว่าผลไม้รสหวานที่มีน้ำตาลมาก) ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของภูมิต้านทานโรค ช่วยลดระดับไขมันที่จะไปพอกพูนเส้นเลือดในร่างกายแล้วทำให้หลอดเลือดอุดตัน ทั้งยังช่วยควบคุมโคเลสเตอรอล และป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี ที่สำคัญวิตามินซีทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นเหตุของการเสื่อมของร่างกายอีกด้วย

โยเกิร์ต
"โยเกิร์ต" มีวิตามิน ได้แก่ วิตามิน เอ, บี1, บี2, บี3, บี6, บี12, ดี, อี มีกรดที่ช่วยในการดูดซึมโปรตีน แคลเซียมและเหล็กเข้าสู่ร่างกาย ช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร และระบบการขับถ่าย ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด ช่วยบำรุงผิวพรรณ แต่ก่อนซื้อต้องอ่านฉลากให้ดีก่อนว่าในโยเกิร์ตรสและยี่ห้อนั้น ๆ มีส่วนประกอบและคุณค่าทางอาหารอะไรบ้าง แนะนำว่าโยเกิร์ตธรรมชาติที่มีน้ำตาลน้อยดีที่สุด
แอปเปิ้ล
แอปเปิ้ลมีสารอาหารที่มีประโยชน์หลายชนิด อาทิ สารเบตาแคโรทีน วิตามินซี นอกจากนี้แอปเปิ้ลยังเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยมาก ซึ่งจะทำหน้าที่ทำความสะอาดลำไส้ ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น และถ้าอยากได้คุณค่าเต็มเปี่ยมแนะนำให้ทานแอปเปิ้ลทั้งเปลือก เพราะเปลือกของแอปเปิ้ลแดง 1 ผลนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่ากับวิตามินซี 820 มิลลิกรัม
ถั่ว
“ถั่ว” ถือเป็นโปรตีนจากพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูงไม่แพ้โปรตีนจากเนื้อสัตว์เชียว ดังนั้นคนที่อยู่ในช่วงทานเจหรือมังสวิรัติแต่ไม่อยากให้ร่างกายขาดโปรตีน ถั่วจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด และที่สำคัญถั่วยังอุดมไปด้วยวิตามินที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของผิวหนัง ผม การควบคุมความดันโลหิต ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบการแข็งตัวของเลือด นอกจากนี้ไขมันไม่อิ่มตัวในถั่วจะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล

ธัญพืช
"ธัญพืช" จำพวกข้าวโพด , ลูกเดือย ,งา ,ข่าวฟ่าง,เมล็ดทานตะวัน, จมูกข้าว, รำจ้าว (ชนิดที่อบกรอบพร้อมทาน) ติดตู้เย็นไว้จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาได้มากทั้งยังดีต่อสุขภาพ โดยในธัญพืชจะมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ต้องใช้เวลาในการย่อย ทำให้น้ำตาลในเลือดไม่ขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว จึงไม่ทำเกิดเป็นโรคเบาหวานตามมาในภายหลัง (ต่างจากแป้งขัดขาวซึ่งน้ำตาลจะถูกย่อยเร็ว) นอกจากนี้ธัญพืชยังเปี่ยมด้วยวิตามิน เกลือแร่ และไฟเบอร์
รู้อย่างนี้แล้ว ลองหาอาหารแต่ละชนิดมาติดไว้ในตู้เย็น เพื่อสุขภาพที่ดี
ที่มา เดลินิวส์

วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555

สารพัดประโยชน์จาก...พริก


พริก...ช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด ช่วยให้ระบบการหายใจสะดวกสบายยิ่งขึ้น สารแคปไซซินที่อยู่ในพริกมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำมูกหรือลดปริมาณสารที่ขัดขวางระบบการหายใจ ในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด ไซนัส หรือโรคภูมิแพ้ต่างๆ ช่วยบรรเทาอาการไอ สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของตัวยาหลายๆ ชนิด นอกจากนั้นสารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยป้องกันการติดเชื้อต่างๆ ในบริเวณเนื้อเยื่อบุผนังช่องปาก จมูก ลำคอ และปอด

พริก...ช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด หรือการเสียชีวิตอันเนื่องมาจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน การบริโภคพริกเป็นประจำจะช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากการอุดตันของเส้นเลือด นับเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว เนื่องจากพริกช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยลดความดัน เพราะว่าในพริกมีสารจำพวกเบตาแคโรทีนและวิตามินซี ซึ่งช่วยเสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรงเพิ่มการยืดตัวของผนังหลอดเลือด ทำให้ปรับตัวเข้ากับแรงดันระดับต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

พริก...ช่วยลดปริมาณสารคอเลสเตอรอล สารแคปไซซินช่วยป้องกันมิให้ตับสร้างคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL-Low density lipoprotein) ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้มีการสร้างคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-high density lipoprotein) มากขึ้น ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดต่ำลง เป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค



พริก...ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากพริกเป็นพืชผักที่มีวิตามินซีสูง การบริโภคอาหารที่มีวิตามินซีมากๆ จะช่วยปกป้องการเกิดโรคมะเร็งได้ วิตามินซียับยั้งการสร้างไนโตรซามีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร วิตามินซีช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นส่วนประกอบของกระดูกอ่อน รวมถึงเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง กล้ามเนื้อและปอด คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สามารถหยุดการแพร่กระจายของเซลล์เนื้อร้ายได้
นอกจากนี้ วิตามินซียังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) คือสามารถยุติหรือขัดขวางบทบาทของอนุมูลอิสระ (free radicals) ที่จะก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์จนเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด สารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยลดอัตราการเสี่ยงของโรคมะเร็งในปอด และในช่องปาก คนที่รับประทานผักที่มีสารเบตาแคโรทีนน้อย จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งมากกว่าคนที่รับประทานผักที่มีเบตาแคโรทีนสูงถึง 7 เท่า
คุณสมบัติของสารเบตาแคโรทีนจะช่วยลดอัตราการกลายพันธุ์ของเซลล์และทำลายเซลล์มะเร็ง สำหรับพริกบางชนิดที่มีสีม่วงจะมีสารพวกแอนโทไซยานิน ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ คือ สามารถทำลายอนุมูลอิสระได้เช่นกัน

พริก...ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด เช่น ลดอาการปวดฟัน บรรเทาอาการเจ็บคอ และการอักเสบของผิวหนัง เป็นต้น ในปัจจุบันมีการใช้สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบของขี้ผึ้ง ใช้บรรเทาอาการปวดอันเนื่องมาจากผดผื่นคันและอาการผื่นแดงบริเวณผิวหนัง รวมทั้งอาการปวดที่เกิดจากเส้นเอ็น โรคเกาต์ หรือโรคข้อต่ออักเสบ เป็นต้น นอกจากนี้ผลการทดลองใหม่ๆยังบ่งชี้ว่าสารแคปไซซินช่วยลดอาการปวดศีรษะและไมเกรนลงได้

พริก...ช่วยเสริมสร้างสุขภาพและอารมณ์ดี เนื่องจากสารแคปไซซินมีส่วนในการส่งสัญญาณให้ต่อมใต้สมองสร้างสาร เอนดอร์ฟิน (endorphin มาจากคำว่า endogenous morphine) ขึ้น สารเอนดอร์ฟินเป็นเปปไทด์ขนาดเล็ก (โปรตีนสายสั้นๆ) มีคุณสมบัติคล้ายมอร์ฟีน คือ บรรเทาอาการเจ็บปวด ในขณะเดียวกันก็สร้างอารมณ์ให้ดีขึ้น ยิ่งรับประทานเข้าไปมากเท่าใด ร่างกายก็จะสร้างเอนดอร์ฟินขึ้นมามากขึ้นเท่านั้น ปกติร่างกายของคนเราจะสร้างสารเอนดอร์ฟินขึ้นภายหลังการออกกำลังกาย ดังนั้นการออกกำลังกายแม้จะทำให้ร่างกายเมื่อยล้า แต่ผู้ออกกำลังกายจะรู้สึกสดชื่นแจ่มใส
ถ้าต้องการบรรเทาความเผ็ดของอาหารในปากควรดื่มแอลกอฮอล์ หรือรับประทานอาหารที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบมากกว่าการดื่มน้ำ เพราะการดื่มน้ำมีผลเพียงช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนได้เท่านั้น แต่ความเผ็ดก็ยังไม่ได้ลดลง เนื่องจากว่า ‘น้ำ' ละลายสารดังกล่าวได้ไม่ดี...นั่นเอง
Tips
เกณฑ์วัดระดับความเผ็ดร้อนสากลของพริกหรือผักผลไม้ที่มีสารแคปไซซินซึ่งให้ความเผ็ดร้อนนี้เรียกว่า สโกวิลล์ (Seoville) เป็นคำที่ตั้งขึ้นตามชื่อของผู้คิดค้นวิธีการวัดระดับนี้ ซึ่งก็คือ วิลเบอร์ ลินคอร์น สโกวิลล์ นักเคมีชาวอเมริกัน โดยเขาได้คิดค้นระดับวัดความเผ็ดนี้ขึ้นในปี ค.ศ. 1912 ขณะทำงานอยู่ที่บริษัทผลิตยา พาร์ก เดวิส เพื่อวัดความฉุนหรือความเผ็ดร้อนของพริกต่างชนิดกัน
สำหรับความเผ็ดที่วัดได้จากพริกขี้หนูสวนบ้านเรานั้นจะอยู่ที่ 50,000-100,000 สโกวิลล์ ในขณะที่สารแคปไซซินบริสุทธิ์นั้นมีค่าประมาณ 15,000,000-16,000,000 สโกวิลล์ ส่วนพริกที่ได้รับการบันทึกลงในกินเนสส์บุ๊กว่าเผ็ดที่สุดในโลกก็คือ พริกฮาบาเนโร จากเรด ซาบีนา วัดค่าได้ถึง 350,000-577,000 สโกวิลล์...เลยทีเดียว

วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2555

10 อันดับ เกาะที่ดีที่สุดในโลก ปี 2012

      
เกาะที่ดีที่สุดในโลก ปี 2012 อันดับ 1 เกาะโบราเคย์ (Boracay Island) ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศฟิลิปปินส์ (Philippines) เกาะโบรา เคย์ อยู่ห่างจากกรุงมะนิลา (Manila) เมืองหลวงของประเทศ ฟิลิปปินส์ไปทางทิศใต้ประมาณ ประมาณ 315 กม. (196 ไมล์)
เกาะที่ดีที่สุดในโลก ปี 2012 อันดับ 2 เกาะบาหลี (Bali Island) ประเทศอินโดนีเซีย เป็นเกาะในหมู่เกาะซุนดาน้อย (Lesser Sunda Islands) และยังเป็นที่ตั้งของจังหวัด บาหลี 1 ใน 33 จังหวัดของประเทศอินโดนีเซีย ปัจจุบันได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
เกาะที่ดีที่สุดในโลก ปี 2012 อันดับ 3 หมู่เกาะกาลาปากอส (Galápagos Islands) ประเทศเอกวาดอร์ เป็นหมู่เกาะกลางมหาสมุทรแปซิฟิก มีความน่าสนใจทั้งด้านธรณี วิทยา สัตววิทยา และนิเวศวิทยาเป็นอย่างยิ่ง ในปี พ.ศ. 2550 องค์การยูเนสโกได้จัดให้ หมู่เกาะกาลาปากอส เป็นมรดกโลกที่อยู่ในสภาวะอันตราย
เกาะที่ดีที่สุดในโลก ปี 2012 อันดับ 4 เกาะเมาวี (Maui) รัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในหมู่เกาะฮาวาย และเป็นเกาะที่ใหญ่อันดับที่ 17 ในสหรัฐอเมริกา และมีขนาดใหญ่ที่สุดในเกาะทั้งสี่ของเมาวีเคาน์ตี
เกาะที่ดีที่สุดในโลก ปี 2012 อันดับ 5 แนวปะการังใหญ่ เกรท แบริเออร์ รีฟ (Great Barrier Reef) ประเทศออสเตรเลีย เป็น “สิ่งก่อสร้างที่มีชีวิต” ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นที่อยู่อาศัยอันอุดมสมบูรณ์ของสิ่งมีชีวิตทางทะเล รวมทั้งปะการังชนิดอ่อน และชนิดแข็ง สีสวยกว่า 350 ชนิด ตลอดจนปลา และสิ่งมีชีวิตในทะเลที่น่าพิศวงต่างๆ อีก 1,500 ชนิด
เกาะที่ดีที่สุดในโลก ปี 2012 อันดับ 6 เกาะซานโตรินี (Santorini Island) ประเทศกรีซ เกาะทางตอนใต้ของกรีซที่สวยงามด้วยบ้านสีขาว-ฟ้า อีกทังยังเป็นที่ตั้งของเมือง ซานโตรินี เมืองท่องเที่ยวที่มีความสวยงามจัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญมากแห่งหนึ่งของประเทศกรีซ
เกาะที่ดีที่สุดในโลก ปี 2012 อันดับ 7 เกาะคาวายอี หรือ เกาะคาวายอิ (Kauai Island) รัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา เป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของฮาวาย ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นเกาะท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง และได้รับการเรียกขานว่าเป็น”เกาะแห่งสวน” (The Garden Isle) โดยเกาะนั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะหลัก อีกทั้งยังเป็นเกาะที่ถือว่ามีความเก่าแก่ที่สุดในหมู่เกาะฮาวาย
เกาะที่ดีที่สุดในโลก ปี 2012 อันดับ 8 เกาะบิ๊กไอส์แลนด์ (Big Island) หรือ เกาะฮาวาย (Hawaii) รัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา เป็นที่ตั้งของรัฐฮาวาย (Hawaii) หมู่เกาะฮาวายอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก
 เกาะที่ดีที่สุดในโลก ปี 2012 อันดับ 9 เกาะซิซิลี (Sicily Island) ประเทศอิตาลี เป็นที่ตั้งของแคว้นปกครองตนเองซิซิลี เป็นหนึ่งใน 20 แคว้นของประเทศอิตาลี เป็นเกาะที่ตั้งอยู่ทางใต้ของประเทศในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่มีประวัติต่อเนื่องยาวนานกว่า 4,000 ปี
ขอขอบคุณรูปที่มาจาก : travel.thaiza.com
ขอขอบคุณรูปที่มาจาก : travel.thaiza.com
 เกาะที่ดีที่สุดในโลก ปี 2012 อันดับ 10 แวนคูเวอร์ ไอส์แลนด์ (Vancouver Island) รัฐบริติช โคลัมเบีย ประเทศแคนาดา  เป็นที่ตั้งของเมืองแวนคูเวอร์ (Vancouver) เมืองท่าชายฝั่งที่มีชื่อเสียงทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐ และในภูมิภาคแปแซิฟิก

วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน



AEC หรือ Asean Economics Community คือการรวมตัวของชาติใน Asean 10 ประเทศ โดยมี ไทยพม่าลาวเวียดนามมาเลเซีย, สิงคโปร์อินโดนีเซียฟิลิปปินส์, กัมพูชาบรูไน เพื่อที่จะให้มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน จะมีรูปแบบคล้ายๆ กลุ่ม Euro Zone นั่นเอง จะทำให้มีผลประโยชน์, อำนาจต่อรองต่างๆ กับคู่ค้าได้มากขึ้น และการนำเข้า ส่งออกของชาติในอาเซียนก็จะเสรี ยกเว้นสินค้าบางชนิดที่แต่ละประเทศอาจจะขอไว้ไม่ลดภาษีนำเข้า (เรียกว่าสินค้าอ่อนไหว)

     Asean จะรวมตัวเป็น ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและมีผลจริงๆจังๆ ณ วันที่ 1 มกราคม 2558 ณ วันนั้นจะทำให้ภูมิภาคนี้เปลี่ยนไปอย่างมากอย่างที่คุณคิดไม่ถึงทีเดียว

     AEC Blueprint (แบบพิมพ์เขียว) หรือแนวทางที่จะให้ AEC เป็นไปคือ
     1. การเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน
     2. การเป็นภูมิภาคที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูง
     3. การเป็นภูมิภาคที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียมกัน
     4. การเป็นภูมิภาคที่มีการบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก

     โดยให้แต่ละประเทศใน AEC ให้มีจุดเด่นต่างๆดังนี้
     - พม่า : สาขาเกษตรและประมง
     - มาเลเซีย : สาขาผลิตภัณฑ์ยาง และสาขาสิ่งทอ
     - อินโดนีเซีย : สาขาภาพยนต์และสาขาผลิตภัณฑ์ไม้
     - ฟิลิปปินส์ : สาขาอิเล็กทรอนิกส์
     - สิงคโปร์ : สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ และสาขาสุขภาพ
     - ไทย : สาขาการท่องเที่ยว และสาขาการบิน (ประเทศไทยอยู่ตรงกลาง ASEAN)

     การเปลี่ยนแปลงที่จะเห็นได้ชัดๆใน AEC โดยอธิบายให้เห็นภาพเข้าใจง่ายๆ เช่น

     - การลงทุนจะเสรีมากๆ คือ ใครจะลงทุนที่ไหนก็ได้ ประเทศที่การศึกษาระบบดีๆ ก็จะมาเปิดโรงเรียนในบ้านเรา อาจทำให้โรงเรียนแพงๆแต่คุณภาพไม่ดีลำบาก

     - ไทยจะเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว และการบินอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะว่าอยู่กลาง Asean และไทยอาจจะเด่นในเรื่อง การจัดการประชุมต่างๆ, การแสดงนิทรรศการ, ศูนย์กระจายสินค้า และยังเด่นเรื่องการคมนาคมอีกด้วยเนื่องจากอยู่ตรงกลางอาเซียน และการบริการด้านการแพทย์และสุขภาพจะเติบโตอย่างมากเช่นกันเพราะ จะผสมผสานส่งเสริมกันกับอุตสาหกรรรมการท่องเที่ยว (ค่าบริการทางการแพทย์ต่างชาติจะมีราคาสูงมาก)

     - การค้าขายจะขยายตัวอย่างน้อย 25% ในส่วนของอุตสาหกรรมบางอย่าง เช่น รถยนต์, การท่องเที่ยว, การคมนาคม, แต่อุตสาหกรรมที่น่าห่วงของไทยคือ ที่ใช้แรงงานเป็นหลักเช่น ภาคการเกษตร, ก่อสร้าง, อุตสาหกรรรมสิ่งทอจะได้รับผลกระทบ เนื่องจากฐานการผลิตอาจย้ายไปประเทศที่ผลิตสินค้าทดแทนได้เช่นอุตสาหกรรมสิ่งทอ โดยผู้ลงทุนอาจย้ายฐานการผลิตจากประเทศไทยไปยังประเทศที่มีค่าแรงถูกกว่า เนื่องด้วยบางธุรกิจไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะมากนัก ค่าแรงจึงถูก

     - เรื่องภาษาอังกฤษจะเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เนื่องจากจะมีคนอาเซียน เข้ามาอยู่ในไทยมากมายไปหมด และมักจะพูดภาษาไทยไม่ค่อยได้ แต่จะใช้ภาษาอังกฤษ (AEC มีมาตรฐานแจ้งว่าจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางใน AEC) บางทีเรานึกว่าคนไทยไปทักพูดคุยด้วย แต่เค้าพูดภาษาอังกฤษกลับมา เราอาจเสียความมั่นใจได้   ส่วนสิ่งแวดล้อมนั้น ป้ายต่างๆ หนังสือพิมพ์, สื่อต่างๆ จะมีภาษาอังกฤษมากขึ้น (ให้ดูป้ายที่สนามบินสุวรรณภูมิเป็นตัวอย่าง) และจะมีโรงเรียนสอนภาษามากมาย หลากหลายหลักสูตร

     - การค้าขายบริเวณชายแดนจะคึกคักอย่างมากมาย เนื่องจาก ด่านศุลกากรชายแดนอาจมีบทบาทน้อยลงมาก แต่จะมีปัญหาเรื่องยาเสพติด และปัญหาสังคมตามมาด้วย

     - เมืองไทยจะไม่ขาดแรงงานที่ไร้ฝีมืออีกต่อไปเพราะแรงงานจะเคลื่อย้ายเสรี จะมี ชาวพม่า, ลาว, กัมพูชา เข้ามาทำงานในไทยมากขึ้น แต่คนเหล่านี้ก็จะมาแย่งงานคนไทยบางส่วนด้วยเช่นกัน  และยังมีปัญหาสังคม, อาชญากรรม จะเพิ่มขึ้นอีกด้วย อันนี้รัฐบาลควรระวัง

     - คนไทยที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ บางส่วนจะสมองไหลไปทำงานเมืองนอก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมซอร์ฟแวร์ (ที่จะให้สิงคโปร์เป็นหัวหอกหลัก) เพราะชาวไทยเก่ง แต่ปัจจุบันได้ค่าแรงถูกมาก อันนี้สมองจะไหลไปสิงคโปร์เยอะมาก แต่พวกชาวต่างชาติก็จะมาทำงานในไทยมากขึ้นเช่นกัน อาจมีชาว พม่า, กัมพูชา เก่งๆ มาทำงานกับเราก็ได้ โดยจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลาง  บริษัท software ในไทยอาจต้องปรับค่าจ้างให้สู้กับ บริษัทต่างชาติให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะเกิดภาวะสมองไหล

     - อุตสาหกรรมโรงแรมการท่องเที่ยวร้านอาหารรถเช่า บริเวณชายแดนจะคึกคักมากขึ้น เนื่องจากจะมีการสัญจรมากขึ้น และเมืองตามชายแดนจะพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเป็นจุดขนส่ง

     - สาธารณูปโภคในประเทศไทย หากเตรียมพร้อมไม่ดีอาจขาดแคลนได้เช่น ชาวพม่า มาคลอดลูกในไทย ก็ต้องใช้โรงพยาบาลในไทยเป็นต้น

     - กรุงเทพฯ จะแออัดอย่างหนัก เนื่องจากมีตำแหน่งเป็นตรงกลางของอาเซียนและเป็นเมืองหลวงของไทย โดยเมืองหลวงอาจมีสำนักงานของต่างชาติมาตั้งมากขึ้น รถจะติดอย่างมาก สนามบินสุวรรณภูมิจะแออัดมากขึ้น (ปัจจุบันมีโครงการที่จะขยายสนามบินแล้ว)

     - ไทยจะเป็นศูนย์กลางอาหารโลกในการผลิตอาหาร เพราะ knowhow ในไทยมีเยอะประสบการณ์สูง และบริษัทอาหารในไทยก็แข็งแกร่ง ประกอบทำเลที่ตั้งเหมาะสมอย่างมาก แม้จะให้พม่าเน้นการเกษตร แต่ทางประเทศไทยเองคงไปลงทุนในพม่าเรื่องการเกษตรแล้วส่งออก ซึ่งก็ถือเป็นธุรกิจของคนไทยที่ชำนาญ อยู่แล้ว

     - ปัญหาสังคมจะรุนแรงถ้าไม่ได้รับการวางแผนที่ดี เนื่องจาก จะมีขยะจำนวนมากมากขึ้น, ปัญหาการแบ่งชนชั้น ถ้าคนไทยทำงานกับคนต่างชาติที่ด้อยกว่า อาจมีการแบ่งชนชั้นกันได้, จะมีชุมชนสลัมเกิดขึ้น และอาจมี พม่าทาวน์, ลาวทาวน์, กัมพูชาทาวน์, ปัญหาอาจญากรรมจะรุนแรง สถิติการก่ออาชญากรรมจะเพิ่มขึ้นอย่างมากจากชนนั้นที่มีปัญหา, คนจะทำผิดกฎหมายมากขึ้นเนื่องจากไม่รู้กฎหมาย


 การขนส่งที่เปลี่ยนแปลง East-West Economic Corridor (EWEC)
     จะมีการขนส่งจากท่าเทียบเรือทางทะเลฝั่งขวาไปยังฝั่งซ้าย เวียดนาม-ไทย-พม่า มีระยะทางติดต่อกันโดยประมาณ 1,300 กม.อยู่ในเขตประเทศไทยถึง 950 กม. ลาว 250 กม. เวียนดนาม 84 กม.เส้นทางเริ่มที่ เมืองท่าดานัง ประเทศเวียดนาม ผ่านเมืองเว้และเมืองลาวบาว ผ่านเข้าแขวงสะหวันนะเขตในประเทศ ลาว และมาข้ามสะพานมิตรภาพ 2 (มุกดาหาร-สะหวันนะเขต) ข้ามแม่น้ำโขงสู่ไทยที่ จังหวัดมุกดาหาร ผ่านจังหวัด กาฬสินธุ์, ขอนแก่น, เพชรบูรณ์ พิษณุโลก สุดที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก จากนั้นเข้าไปยังประเทศพม่าไปเรื่อยๆ ถึงอ่าวเมาะตะมะ ที่เมืองเมาะลำไย หรือมะละแหม่ง เป็นการเชื่อมจากทะเลจีนใต้ไปสู่อินเดีย

     มันจะมีผลที่ดีคือ การขนส่ง logistic ใน AEC จะพัฒนาอีกมาก และจากาการที่ไทยอยู่ตรงกลางทำให้เราขายของได้มากขึ้นเพราะเราจะส่งของไปท่าเรือทางฝั่งซ้ายก็ได้ ทางฝั่งขวาก็ได้  ที่ดินในไทยบริเวณดังกล่าวก็น่าจะมีราคาสูงขึ้นและที่พม่ายังมี โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ หรือโครงการ “ทวาย” (ศูนย์อุตสาหกรรมขนาดใหญ่,ท่าเรือขนาดใหญ่ ที่ปัจจุบัน Italian-Thai Development PLC ได้รับสัมปทานในการก่อสร้างแล้ว) ที่เส้นทางสอดคล้องกับ East West Economic Corridor โดยทวายจะกลายเป็นทางออกสู่ทะเลจุดใหม่ที่สำคัญมากต่ออาเซียน เพราะในอดีตทางออกสู่มหาสมุทรอินเดียจำเป็นต้องใช้ท่าเรือของสิงคโปร์เท่านั้น ขณะเดียวกันโปรเจกต์ทวายนี้ยังเป็นต้นทางรับสินค้าจากฝั่งมหาสมุทรอินเดียหรือสินค้าที่มาจากฝั่งยุโรปและตะวันออกกลาง โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มพลังงานไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ก๊าซ ซึ่งจะถูกนำเข้าและแปรรูปในโรงงานปิโตรเคมีภายในพื้นที่โปรเจกต์ทวาย เพื่อส่งผ่านไทยเข้าไปยังประเทศกลุ่มอินโดจีนเช่น ลาว กัมพูชา และไปสิ้นสุดปลายทางยังท่าเรือดานังประเทศเวียดนาม และจะถูกส่งออกไปยังเอเชียตะวันออกอย่างญี่ปุ่นและจีน

     ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่เราควรจะเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ ที่สำคัญตอนนี้คือ ภาษาอังกฤษ อย่างน้อยๆเราก็จะได้สื่อสารทางธุรกิจได้ เพราะหากสื่อสารไม่ได้ เรื่องอื่นก็คงไม่ต้องทำอะไรต่อ  และถ้าจะหาลูกค้าแค่ในไทยก็อาจไม่เพียงพอแล้วเพราะ ธุรกิจต่างชาติก็จะมาแย่งส่วนแบ่งการตลาดของเราแน่นอน เรื่อง AEC จึงถือเป็นเรื่องใหญ่ ที่ธุรกิจและคนไทยต้องปรับตัวและเตรียมพร้อมให้ดี



     ที่มา : www.thai-aec.com

แครอท ลดมะเร็งปอด



แครอท เกิดในแถบเอเชียตะวันออก และเอเชียกลาง ออกดอกราวเดือนพฤษภาคม ถึงตุลาคม ดอกแตกเป็นชั้นคล้ายร่ม ชั้นนอกสีชมพู ตรงกลางสีม่วงแดงแครอท เกิดในแถบเอเชียตะวันออก และเอเชียกลาง ออกดอกราว เดือนพฤษภาคม ถึงตุลาคม ดอกแตกเป็นชั้นคล้ายร่ม ชั้นนอกสีชมพู ตรงกลางสีม่วงแดง แครอทสมัยโบราณมีเนื้อแข็ง เสี้ยนเยอะเหมือนไม้ สีของหัวแครอทมีตั้งแต่สีเหลืองไปจนถึงสีม่วง แต่แครอทสีส้มที่รับประทานกันทั่วไป เป็นแครอทที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์เมื่อศตวรรษที่ 18 นี้เอง ในทางยาพบว่าเป็นสมุนไพรพื้นบ้านของชาวอเมริกัน ใช้เป็นยาครอบจักรวาล รักษาได้หลายโรค เช่น แก้โรคประสาท โรคผิวหนัง และหืดหอบ
 
     ในปี พ.ศ. 2510 สถาบันมะเร็งแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา ได้พบว่าวิตามินเอที่ได้จากสัตว์ สามารถระงับมะเร็งในทางเดินหายใจ ในหนูทดลองได้ แต่ยังไม่มีใครสนใจว่าวิตามินเอที่ได้จากพืช หรือสัตว์จะให้ผลดีกว่ากัน ซึ่งข้อมูลขณะนั้นได้บ่งชี้อย่างชัดเจนว่า คนได้รับวิตามินเอจากผักสีเขียว และพืชสีส้มเป็นหลัก วิตามินเอที่ได้รับจากพืชคือ สารเบต้า แคโรทีน ซึ่งจะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ เมื่อเข้าไปอยู่ในร่างกายมนุษย์
 
      ปี พ.ศ. 2524 ริชาร์ด ปีโต และคณะ ได้เขียนบทความลงในนิตยสาร Nature ว่า "จริงๆ แล้ว วิตามินเอไม่ได้ส่งผลให้เกิดการยับยั้งมะเร็ง แต่เป็นสารเบต้า แคโรทีน" จากการทดลองของ ดร. ริชาร์ด เชเคลล์ นักระบาดวิทยา มหาวิทยาลัยเท็กซัส ก็สนับสนุนความน่าเชื่อถือของข้อมูลนี้ มีการทดลองอีกมากมายเกิดขึ้น แต่ข้อสรุปรวมจากการศึกษาทั้งหมดก็คือ "อาหารที่มีเบต้า แคโรทีน สามารถลดอุบัติการณ์โรคมะเร็งในปอดได้ แม้แต่ในผู้ที่สูบบุหรี่หลายปีแล้วก็ตาม" นอกจากนี้ยังพบว่า คนที่ทานพืชผักที่มีแคโรทีนน้อยที่สุด จะเสี่ยงต่อมะเร็งในปอด เป็นเจ็ดเท่าของคนที่ทานมากที่สุดในกลุ่ม เบต้า แคโรทีนสามารถป้องกัน และยับยั้งมะเร็งในระยะต่างๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากให้กินเบต้า แคโรทีนขนาดสูง พร้อมกับฉายรังสี
 
     ท่านที่เคยเขี่ยแครอทชิ้นน้อยทิ้งจากจานสเต็ค คงทราบแล้วว่า แครอทมีคุณประโยชน์มหาศาล นี่ยังไม่รวมถึงประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ที่จะช่วยให้ท่านดูสดชื่น บำรุงผิวพรรณ และช่วยในการขับถ่าย พืชผักทุกชนิดมีคุณสมบัติดีต่อร่างกายเหมือนกันหมด หากท่านอยากมีสุขภาพดี ก็ไม่ควรเขี่ยผักเหล่านี้ทิ้งแม้สักชิ้นเดียว 



     ที่มา : 108health.com

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

7 ข้อก่อหนี้มะเร็ง



มะเร็ง โรคที่หลายคนขยาดกลัว บางครั้งสาเหตุหนึ่งอาจเกิดจากพฤติกรรมที่ทำสะสมเอาไว้ก่อนป่วย อย่างที่นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ เล่าว่า มีพฤติกรรมบางอย่างเข้าข่ายสร้างหนี้มะเร็ง และสร้างภาวะล้มละลายทางสุขภาพได้ ดังเช่น 7 กรณีหนี้มะเร็งที่อาจถูกมองข้ามไป...

"เอ็กซเรย์บ่อย โดยไม่จำเป็น" 
เช่น กรณีเอ็กซเรย์มะเร็งเต้านม (แมมโมแกรม) ที่มีรายงานออกมาจากคุณหมอผู้เชี่ยวชาญระดับสากลแล้วว่าไม่จำเป็นเสมอไป เพราะไม่ได้ช่วยให้อัตราการเกิดมะเร็งลดลง ทั้งนี้รวมถึงการเอ็กซเรย์แบบเข้าอุโมงค์สแกนทั้งตัว ซึ่งจัดเป็นการอาบรังสี โดยรังสีเอ็กซ์ที่ได้นั้นเป็นพิษต่ออณูกายในระดับดีเอ็นเอ

"ใช้ฮอร์โมน" 
การได้รับฮอร์โมนมาทั้งแบบกิน ฉีดหรือเสริมเข้าไป ที่ใช้กับวัยทองหรือเพื่อกระตุ้นความหนุ่มสาวใดๆก็ตาม ต้องระวังการเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงปรารถนา เพราะไม่มีฮอร์โมนเสริมใดที่ไร้พิษภัย การรับเข้าไปมีสิทธิ์ไปกวนฮอร์โมนธรรมชาติของเดิมและกลายเป็นปุ๋ยเร่งมะเร็งได้

"นอนดึก"
 การพักผ่อนที่ดึกเกินไปหรือผิดเวลาบ่อยๆ เช่นการทำงานแบบเข้ากะ สลับเวรเช้า บ่าย และดึก เป็นความเสี่ยงต่อสุขภาพและโรคมะเร็งบางชนิด แต่ไม่จำเป็นต้องลาออกจากหน้าที่การงานเสียหมด เพียงขอให้ฝึกเทคนิคหลับลึกจะช่วยพลิกวิกฤติสุขภาพได้

"กินดึก"
 ไลฟสไตล์แบบนอนและกินผิดเวลาจะพาให้ระบบในร่างกายแปรปรวน ลองนึกถึงรถยนต์ที่ขับไปนู่นมานี่ไม่มีวันพัก เครื่องยนต์ก็จะเสื่อมเร็วต้องเปลี่ยนอะไหล่ไปเรื่อย การกินดึกเหมือนการแกล้งให้ร่างกายต้องทำโอทีในเวลาที่ควรพักผ่อน ร่างกายต้องลุกขึ้นมาย่อยอาหารอย่างสะลึมสะลือ จะทำให้สมองหลั่งสารต้านมะเร็ง อย่าง “เมลาโทนิน” ได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย

"กินซ้ำ"
 ทำพิษกับท่านที่ชอบรับประทานตามสะดวก โดยสั่งอาหารซ้ำเดิมมากินแทบทุกมื้อจนกระเพาะและลำไส้เคยชินกับการกินสารอาหารเดิม ส่งผลให้ขาดวิตามินได้ แถมการกินซ้ำยังทำให้สะสมพิษไว้ในร่างกาย ที่เกี่ยวกับมะเร็งก็เช่น การรับประทานหมูแฮม แหนม ไส้กรอกบ่อยๆ หรือการกินปลาเค็มบ่อยๆ ก็มีสิทธิ์กระตุ้นมะเร็งในจุดสำคัญของร่างกายได้

"ท้องผูก"
 อาการท้องผูกช่วยกระทุ้งมะเร็งหลายชนิด โดยเฉพาะที่ทำพิษกับลำไส้ใหญ่เพราะอยู่ใกล้ชิดกับของเสียจากร่างกายเป็นที่สุด อาการท้องผูกอาจเป็นจุดเริ่มต้นของก้อนมะเร็งในลำไส้ได้ โดยท่านที่เป็นบ่อยหรือมี “ติ่งเนื้อ(Colon polyposis)” ขอแนะให้ไปส่องกล้องดูอย่างน้อยสักครั้ง

และ "เครียดง่าย" ท่านที่เก็บทุกข์เก่ง เช่นมองทุกอย่างได้เป็นเรื่องน่ารำคาญตา รำคาญใจไปเสียหมด รถติดก็หงุดหงิด เด็กเสิร์ฟเดินรับออเดอร์ช้าก็นอยด์ เห็นอะไรขวางหูขวางตา มีความน่าจะเป็นในการเกิดมะเร็งได้สูงเพราะมะเร็งรับวิตามินเร่งโตมาจากความเครียดที่กระตุ้น “อนุมูลอิสระ” ให้วิ่งวนอย่างร่าเริงในกระแสเลือด


หนี้มะเร็งข้อสุดท้ายจึงร้ายสุด เพราะทำให้เกิดมะเร็งได้ทุกส่วนรวมถึง “มะเร็งใจ” ด้วย.

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

ลดการบาดเจ็บ จากการเล่นกีฬา



เรื่องกีฬาเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้ และอุบัติเหตุจากการเล่นกีฬาก็เรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้สำหรับผู้ที่เล่นกีฬาประจำเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นอาการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ หรือการบาดเจ็บรุนแรงก็ตาม  ผู้เชี่ยวชายอย่าง นพ. อี๊ด ลอประยูร ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์การกีฬาและออกกำลังกายกรุงเทพ(BASEM) รพ.กรุงเทพ จึงมีข้อแนะนำดีๆ เพื่อลดการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬามาฝากกัน

    1. การบาดเจ็บเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาดังนั้นสิ่งที่ต้องคำนึงคือ การรู้ข้อจำกัดของตัวเอง และหากต้องเพิ่มระดับการออกกำลังควรค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละน้อยจึงจะไม่เกิดอาการบาดเจ็บ

    2. บางครั้งการบาดเจ็บอาจจะเกิดจากเทคนิคการเล่นที่ผิด เช่น ใช้ไม้เทนนิสที่ถูกขึ้งเอ็นให้ตึงจนเกินไป ทำให้เกิดแรงปะทะมากขึ้น การกำไม้เทนนิสที่แน่นเกินไปหรือหัวไม้ที่หนักเกินไปเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดอาการบาดเจ็บได้

    3. เมื่อเกิดการบาดเจ็บขึ้น การได้รับการรักษาที่ทันท่วงที เช่น การปฐมพยาบาลด้วยวิธีที่ผิด เช่น แทนที่จะเอาน้ำแข็งประคบใช้ผ้าพัน และยกขาไว้สูงเพื่อไม่ให้เกิดอาการบวม กลับมาใช้ยาหม่องนวด ก็อาจจะต้องทนอยู่กับอาการปวดนานนับเดือน

    4. ปัจจุบันเทคโนโลยีหรืออุปกรณกีฬาที่ออกแบบมาเพื่อลดอาการบาดเจ็บจากการออกกำลังกายมีมากขึ้น เช่น ไม้เทนนิสที่ออกแบบให้น้ำหนักเบา ลู่วิ่งที่ออกแบบพื้อนเป็นพิเศษช่วยลดแรงปะทะ ซึ่งถ้าเราเลือกใช้อุปกรณ์กีฬาที่ดีมีคุณภาพ ก็จะเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นได้

    5. นอกจากนี้ยังมีเทคโลยีที่ช่วยทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ปอด หัวใจ ก่อนออกกำลังกาย ซึ่งจะช่วยทำให้ผู้เล่นกีฬาสามารถรับรู้ถึงปัญหาศักยภาพได้อย่างถูกต้อง

    6. ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหรือนักกายภาพบำบัดที่จะช่วยแนะนำเทคนิคการออกกำลังกายอย่างถูกต้องเพื่อลดการบาดเจ็บ

     ที่มา : หนังสือพิมพ์ M2F

วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2555

4 ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่อง นม


เชื่อว่ามีหลายคนหลงใหลในสิ่งที่เรียกว่า "นม" ขณะที่อีกหลายคนซึ่งยังไม่ค่อยรู้สึกรู้จริงในเรื่อง "นม" อาจยังสงสัยอยู่ว่า "นม" มีอะไรดีถึงขนาดจะเผลอตัวไปใหลหลงด้วยหรือ อืม...คุณไม่รู้สึกหรือครับว่า "นม" น่าสัมผัสจับต้องจะตาย เอ่อ! ที่ว่าน่าจับต้องนั้นผมหมายถึง "นมในแก้ว" หรือ "นมในกล่อง" ที่อุดมด้วยพลังงาน โปรตีน แคลเซียม วิตามินบี วิตามินดี ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม ซึ่งช่วยให้ร่างกายแข็งแรงนะครับ ถึงจะมีประโยชน์แต่หลายคนมักเข้าใจเรื่องนมแบบผิดๆ อย่างเช่น การดื่มนมจำเป็นสำหรับเด็กเท่านั้น ซึ่งความเข้าใจผิดอย่างนี้เป็นเรื่องที่เราอยากชวนคุณก้าวพ้น และก้าวเข้ามาค้นพบเรื่องดีๆ มหัศจรรย์ของสิ่งที่เรียกว่า "นม" กันดีกว่า อ่านจบแล้วคุณอาจพบว่า "นม" น่าสัมผัสจับต้องและล้วงลึกมากกว่าที่เคยคิดก็เป็นได้นะค่ะ
4 ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่อง "นม"

1. การดื่มนมเป็นประจำ ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นข้อเท็จจริงคือ ปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานไม่ได้มาจากสาเหตุการดื่มนมเป็นประจำ แต่มาจากการบริโภคอาหารที่ไม่ได้สัดส่วนสมดุล ปัจจุบันมีผลงานวิจัยออกมาแล้วว่าการบริโภคอาหารที่ให้พลังงานต่ำควบคู่กับการดื่มนมให้มากขึ้น มีความสัมพันธ์กัน และช่วยทำให้น้ำหนักลดลงได้ การดื่มนมเป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และช่วยสร้างสมดุล ในปริมาณอาหารที่บริโภคเข้าไป ซึ่งจากการศึกษาโดยใช้นมพร่องมันเนยในเด็กวัยรุ่นที่อยู่ในโปรแกรมลดน้ำหนัก พบว่ากลุ่มเด็กที่ดื่มนมพร่องมันเนยสามารถลดน้ำหนักได้ดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ดื่มนม เนื่องจากแคลเซียมมีผลต่อการใช้ไขมัน ซึ่งทำให้สรุปได้ว่านมมีส่วนช่วยในเรื่องลดน้ำหนัก2. การดื่มนมอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ข้อเท็จจริงคือ อาการแพ้นมสามารถเกิดขึ้นได้ แต่อาการแพ้โปรตีนในนมวัวนั้นเกิดในคนจำนวนน้อยมากหรือเฉพาะในเด็กทารกเท่านั้น ตามสถิติพบว่า 2-4 เปอร์เซ็นต์ของเด็กเล็กเท่านั้นที่จะเกิดอาการแพ้ และอาการแพ้ต่างๆ จะหายไปเองเมื่อเด็กมีอายุตั้งแต่สองขวบขึ้นไป สำหรับอาการแพ้ที่เกิดขึ้นบ่อยในผู้ใหญ่นั้นจะเป็นลักษณะของอาการท้องเสีย เมื่อดื่มนมโดยเฉพาะในขณะท้องว่าง อาการเช่นนี้เกิดขึ้นเพราะร่างกายไม่คุ้นเคยกับการดื่มนม และไม่มีน้ำย่อยสำหรับย่อยน้ำตาลแลคโตสในน้ำนม ซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยการทยอยดื่มครั้งละน้อยๆ วันละหลายเวลาพอสักระยะหนึ่งร่างกายจะค่อยๆ สร้างน้ำย่อยแลคเตสสำหรับย่อยแลคโตสขึ้นมาเอง

3. การบริโภคนมเสี่ยงต่อการทำให้เกิดโรคหัวใจข้อเท็จจริงคือ นมและผลิตภัณฑ์จากนมไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ อาหารที่ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจนั้นคืออาหารที่ประกอบด้วยไขมันสูง คุณจึงมั่นใจได้ว่าการบริโภคนมทั่วไปไม่ทำให้เป็นโรคหัวใจ ส่วนการบริโภคนมและโยเกิร์ตพร่องไขมัน จะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์เหมือนการบริโภคนม โดยที่ไม่ต้องกังวลกับปริมาณไขมันอีกด้วย4. การดื่มนมจำเป็นสำหรับเด็กๆ เท่านั้นข้อเท็จจริงคือ หลายคนคิดว่านมเป็นเครื่องดื่มสำหรับเสริมสร้างการเจริญเติบโตในวัยเด็กเท่านั้น เมื่อเติบโตขึ้นแล้วจึงไม่เป็นต้องดื่มนมอีก ซึ่งในความเป็นจริงนั้นร่างกายของเรายังคงมีความต้องการสารอาหารตลอดเวลาในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะแคลเซียมสำหรับใช้ในการเสริมสร้างกระดูก ซึ่งมีการสลายตัว และสร้างใหม่อยู่ตลอดเวลา โดยในวัยเด็กจะมีสัดส่วนการสร้างมากกว่าการสลายจนถึงอายุ 20 ปี โดยในช่วงอายุ 25-40 ปี สัดส่วนการสร้างและสลายกระดุกจะสมดุลกัน และเมื่ออายุมากขึ้น การสลายกระดูกจะมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้มวลกระดูกลดน้อยลงทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนTwo-second Tip จากข้อมูลล่าสุดของ บริษัทฟรีสแลนด์ ฟู้ดส์ โฟร์โมสต์ (ประเทศไทย) จำกัด ทำให้เราได้รู้ว่าปัจจุบันคนไทยดื่มนมคนละ 7 ลิตรต่อปี ซึ่งถือเป็นอัตราเฉลี่ยที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น (เฉลี่ยคนละ 39 ลิตรต่อปี) อเมริกา (เฉลี่ยคนละ 92 ลิตรต่อปี) ทั้งๆ ที่นมมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย บางทีนอกจากรัฐบาลควรหันมากระตุ้นให้คนไทยอ่านหนังสือแล้ว ยังควรกระตุ้นให้หันมาดื่ม "นม" ด้วยนะค่ะ